March 28, 2024   5:16:06 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ขึ้น ดบ. 0.50% งานนี้แบงก์เฮ-ลิสซิ่งเศร้า-พร็อพเพอร์ตี้ตาย
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 07/09/2005 @ 18:11:58
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ธปท.ใจถึง ประกาศปรับดอกเบี้ยอาร์ / พี 14 วัน 0.50% เป็น 3.25%
ส่งผลส่วนต่างดบ.ไทย-เฟด เหลือแค่ 0.25% เหตุเงินเฟ้อพุ่งแรงและมีความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอีก ขณะดุลบัญชีฯแม้ครึ่งปีหลังจะเกิดดุลแต่ทั้งปียังขาดดุล
แถมส่อแววถึงปีหน้าด้วย มีแนวโน้มประชุมครั้งหน้าเดือน ต.ค.อาจขึ้นอีกหากเงินเฟ้อยังไม่มีทีท่าลดลง ด้านคลังไม่แปลกใจมองเป็นนโยบายที่ต้องการ
ให้ดบ.ในประเทศขึ้นอยู่แล้ว ส่วนวงการโบรกฯ ประสานเสียง ขึ้นรอบนี้ แบงก์รับอานิสงส์เต็มๆเชียร์ KBANK-SCB-BAY แต่อสังหาฯ -ลิสซิ่ง งานนี้เดี้ยง

นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วานนี้ (7 ก.ย.) มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน หรือ อาร์/พี 14 วัน ขึ้นร้อยละ 0.50 ต่อปี จากร้อยละ 2.75 เป็นร้อยละ 3.25
ต่อปี โดยให้มีผลทันที
สำหรับการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ เนื่องจากที่ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มในระยะต่อไป พบว่าในไตรมาสที่
2 ของปี 2548 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 4.4 สูงกว่าคาดและเร่งตัวจากร้อยละ 3.3 ในไตรมาสแรก ท่ามกลางปัจจัยลบหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมันซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจมีพื้นฐานที่เข้มแข็งและสามารถรองรับ
ผลกระทบได้ดีพอควร จึงประเมินว่า เศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวได้ต่อไป
โดยเฉพาะเมื่อมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากแนวโน้มการส่งออกและการลงทุน
ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน
นอกจากนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสูงมากในครึ่งแรกของปี แต่เริ่ม
ปรับตัวดีขึ้นทั้งจากแนวโน้มการส่งออกที่สูงขึ้นและการชะลอตัวของการนำ
เข้าคาดว่าในครึ่งปีหลังของปีดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล แต่เมื่อรวมทั้งปี
แล้ว ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2548 ก็จะยังคงขาดดุลและมีแนวโน้มที่จะขาด
ดุลต่อไปอีกในปี 2549 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นชัดเจนทั้งอัตราเงิน
เฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อ
เนื่องในระยะต่อไปมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะ
หนึ่งหรืออาจจะเพิ่มขึ้นอีกหากราคาน้ำมันสูงขึ้นกว่านี้
คณะกรรมการฯ เห็นว่าแม้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์
ดี แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและมีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเร่ง
ตัวเกินเป้าหมาย รวมทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มที่จะขาดดุลในปีนี้และปีหน้าต่อไป ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นเพื่อควบคุม
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ภายในเกณฑ์ที่กำหนด และเพื่อให้อัตราดอกเบี้ย
ที่แท้จริงในประเทศกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมต่อการดูแลเสถียรภาพเศรษฐ
กิจอันจะเอื้อต่อการขยายตัวาอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาวนางอัจนา กล่าว
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในสัดส่วน 0.50% ว่าไม่มี
ผลต่อการไหลเข้า-ออกของเงินทุน เพราะการไหลเข้า-ออกของเงินทุนขึ้นกับค่าเงินของประเทศนั้นๆและปัจจัยพื้นฐานมากกว่าจะถูกกำหนดด้วยส่วนต่าง
ของอัตราดอกเบี้ย
นางอัจนา กล่าวยอมรับว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นถ้าอัตราดอกเบี้ยนอกประเทศสูงกว่าดอกเบี้ยในประเทศ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่เหตุผลหลักที่คณะกรรม
การนโยบายการเงินตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย0.50% ในครั้งนี้
ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ภายหลังจากการขึ้นดอกเบี้ยของธปท.นั้นคงขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของธนาคารแต่ละแห่งและการ
จัดการบริหารของธนาคาร แต่ยอมรับว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็จะเป็นการส่งสัญญาณให้ผู้บริโภคและนักลงทุนได้ทราบว่าทิศทางของอัตราดอก
เบี้ยในอนาคตจะต้องปรับเพิ่มขึ้นไม่อยู่ต่ำอย่างในปัจจุบัน นอกจากนี้การส่งสัญญาณดังกล่าวจะมีผลดีต่อการออมเงินของประชาชน
ทั้งนี้ กนง.จะมีการประชุมนโยบายอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปในวันที่
19 ตุลาคม 2548 นี้ หลังจากนั้นจะประชุมอีกครั้งในเดือนธันวาคม
นางอัจนา กล่าวว่า การทำนโยบายการเงินจะใช้เวลา 4-8 ไตรมาส
ถึงจะมีผลในทางปฏิบัติต่อภาคเอกชน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์
เริ่มมีการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่มีระยะเวลาสั้นลง โดยปัจจุบันธนาคารบางแห่งได้ปรับอัตราดอกเบี้ยประเภท 6 เดือนไปแล้ว
นางอัจนา กล่าวถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ด้วยว่าธปท.จะยังคาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้จะยังอยู่ในระดับ 3.5-
4.5% แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาไตรมาสที่ 2 เศรษฐกิจจะมีการขยายตัวถึง
4.4% ซึ่งสูงกว่าที่มีการคาดการณ์และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก ในขณะที่เศรษฐกิจยังมีปัจจัยเข้ามากระทบมาก
นางอัจนา กล่าวว่า ผลจากราคาน้ำมันที่ยังคงปรับเพิ่มขึ้นทำให้ธปท.มองว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าเป้า
หมาย โดยอาจจะเห็นในช่วงปลายปีหน้า ดังนั้นเพื่อเป็นการดูแลอัตราเงิน
เฟ้อพื้นฐานให้อยู่ในกรอบที่ทางการกำหนด ทำให้คณะกรรมการนโยบาย
การเงินจึงต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 0.50%
เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังมีโอกาสจะขยายตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก
เป็นผลมาจากไตรมาสที่2 ที่เศรษฐกิจโตขึ้นสูงกว่าที่คาดหมาย และในครึ่ง
ปีหลังน่าจะเติบโตดีขึ้นจากการส่งออก การลงทุนของภาครัฐ แต่ในขณะนี้
แบงก์ชาติยืนยันเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับ 3.5-4.5%นางอัจนา กล่าว


* สมคิด ยัน ธปท.ขึ้นดบ.0.50% ไม่กระทบศก.
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. จะไม่กระทบ
ต่อเศรษฐกิจของไทยแต่เป็นการช่วยเศรษฐกิจมากกว่า



* คลัง ระบุ ธปท.ขึ้นดบ. 0.5% เหตุต้องการเร่งดบ.ในปท.ให้สูงขึ้น
นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยนโยบายเศรษฐ
กิจการคลัง (สวค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
ที่ธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% เนื่องจากธปท.พยายามเร่งอัตราดอก
เบี้ยภายในประเทศให้สูงขึ้นอยู่แล้ว เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการเงินในระ
ยะยาวซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจแต่อย่างใด
ทั้งนี้ในเรื่องดังกล่าวต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติเป็นผู้ดู
แลส่วนการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มว่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ซึ่งจะส่งผลให้ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและของ
เฟดอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันนั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใดและเชื่อว่าธปท.สามารถดูและเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี



* ?SCIB? ยัน ยังไม่ขึ้นดบ. ขอรอดูสถานการณ์แบงก์ใหญ่ก่อน
นายอรุณ จิรชวาลา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย
จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB กล่าวว่า ธนาคารจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ในขณะนี้ แม้ว่าล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ปรับอัตราดอกเบี้ย
ตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน (อาร์พี) ขึ้น 0.50% จาก 2.75% เป็น 3.25% ก็ตามโดยจะต้องรอดูความเคลื่อนไหวของธนาคารพาณิชย์ขนาด
ใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอก
เบี้ยหรือไม่ หากมีการปรับขึ้นก็จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบปรับขึ้น
ตาม อีกทั้งการปรับดอกเบี้ยของธปท.ครั้งนี้เชื่อว่าไม่ได้ช่วยดึงเงินออมเข้ามา
ในระบบ แต่เป็นการปรับขึ้นเพื่อความสมดุลของระบบเท่านั้น
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะต้องพิจารณาถึงต้นทุน สภาพคล่องเงินฝาก และรายได้สินเชื่อ ซึ่งในปัจจุบันธนาคารมียอดเงินฝาก คิดเป็นมูลค่า
ทางบัญชี จำนวน 400,000 ล้านบาท และมียอดสินเชื่อ ทั้งหมด 290,000
ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังมีสภาพคล่องอยู่ค่อนข้างมากจึงมีช่องว่างที่จะนำเงิน
ออกมาปล่อยสินเชื่อและนำไปลงทุนในพันธบัตรได้อีก และคาดว่าภายในสิ้น
ปี 2548 ธนาคารจะมียอดสินเชื่อรายใหม่คิดเป็นมูลค่าทางบัญชีจำนวน
40,000 ล้านบาท นายอรุณ กล่าว


*ทรีนิตี้ ชี้ KBANK ได้ประโยชน์สุดๆ
บล.ทรีนิตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ กลยุทธ์เดือนกันยายน ว่ากลุ่มธนาคาร
จะได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ย RP-14วัน ปรับตัวขึ้นจา2.75 % เป็น
3.25% โดยที่ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)จะได้ประโยชน์สูงสุดเนื่องจาก 10%ของสินทรัพย์ธนาคารถูกปล่อยกู้ในตลาด interbank และ repo market
ในขณะที่ SCB และ BBL มีประมาณ 6.5% และ 5.5% ตามลำดับ
สำหรับส่วนแบ่งตลาดของ interbank loan จะแบ่งเป็น BBL 25%, KTB
22%และ KBANK 19%
ทั้งนี้แนะนำซื้อ KBANK ให้ราคาเป้าหมาย 65 บาท และBBLที่นอก
เหนือจากได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย RP 14 วันแล้วยังเป็นเจ้า
หนี้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับโครงสร้างหนี้ของTPIให้ราคาเป้า
หมาย 120 บาท



*ฟาร์อีสท์ ระบุ อสังหาฯ-ลิสซิ่ง-ไฟแนนซ์ อ่วมหลังดบ.ขึ้น
นายศรันย์ ถวิลย์หวัง รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์
บล. ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า หลังจากที่ กนง.มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี
อีก 0.50% หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็มีแรงซื้อเข้าอย่างต่อเนื่องซึ่งได้รับปัจ
จัยบวกจากเรื่องดังกล่าว
กลุ่มแบงก์ก็ต้องได้รับผลดีเพราะจะได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้นแต่
ในแง่หนึ่งอาจจะทำให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารทำได้ยากขึ้นและการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในระยะกลางก็อาจจะได้เห็น
นายศรันย์ กล่าว
แต่อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ลิสซิ่ง และไฟแนนซ์ก็คงได้
รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวเนื่องจากธุรกิจต้องกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อนำ
มาใช้ในการดำเนินธุรกิจดังนั้นจะต้องได้จ่ายอัตราดอกเบี้ยในจำนวนที่มากขึ้น
ส่วนกลุ่มอสังหาฯผู้บริโภคอาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านได้
ส่วนผลกระทบในด้านเศรษฐกิจคาดว่าจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจเกิด
การชะลอตัวลงในระยะกลาง เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น นอกจาก
นี้ยังส่งผลให้ภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้ค่อนข้างผันผวนแต่อย่างไรก็ตามอาจทำ
ให้มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้เพราะค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นประกอบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยัง
ดีอีกด้วย



* เอบีเอ็น-แอมโรเอเซีย แนะลุย KBANK SCB BAY
บทวิเคราะห์จากเอบีเอ็น-แอมโรเอเซีย ใน ประเด็น มุมมองการลงทุน
หุ้นกลุ่มธนาคารในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิกที่ออกมาเมื่อวันที่ 6 กันยายน
2548 ระบุแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารของไทย มี KBANK SCB และBAY เป็นหุ้นเด่น พร้อมระบุว่า ปัจจัยที่เป็นผลดีต่อกลุ่มธนาคารของไทยได้แก่ 1. อัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัวหลังสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPAs) ลดลง2. วัฏจักรการลงทุนที่จะเริ่มกลับมาเนื่องจากราคาน้ำมันที่คืนสู่ระดับที่มีเสถียรภาพในที่สุดรวมถึงการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล
3.การบริหารทางการเงินที่มีประสิทธิภาพจากฐานเงินทุนที่เข้มแข็งและการตั้งสำรองหนี้สูญในระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้เอบีเอ็น-แอมโรยังเชื่อว่าหุ้นกลุ่มธนาคารของไทยเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าแต่ความเสี่ยงจำกัด
หุ้นกลุ่มธนาคารของไทยมีค่า P/BV ในช่วง 1.3 - 2.5x ตลอดช่วง 5
ปีหลังสุดแสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นในปัจจุบันเกือบจะใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี
เนื่องจากขณะนี้ไม่ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะที่ความสามารถในการทำกำ
ไรของธนาคารกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ดังนั้น จึงเห็นว่าเวลานี้นับเป็นช่วงที่ดีที่
สุดที่จะเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร
หุ้นกลุ่มธนาคารของไทย เอบีเอ็น-แอมโร มองว่า KBANK SCB BAY เด่นที่สุดในกลุ่ม
โดยวิเคราะห์ว่า KBANK เป็นหุ้นบลูชิพที่แนะนำว่า ต้องถือ เนื่อง
จากเป็นธนาคารที่มี ROE สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมประกอบกับทีมบริ
หารที่แข็งแกร่งจะสามารถดึงเงินลงทุนจากต่างชาติได้อย่างพอเพียง หาก
ภาคธนาคารของไทยถูกพิจารณาด้านน้ำหนักการลงทุนใหม่ เอบีเอ็น-แอมโรแนะนำซื้อ พร้อมให้ราคาเป้าหมายที่ 80 บาท มีอัพไซด์อยู่ที่ 21.2%
-SCB ถึงแม้ว่า ROE จะเป็นรอง KBANKแต่เชื่อว่าบริหารเงินทุนยังคง
ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความเสี่ยงสำหรับ SCBในความเห็นเอบีเอ็น-แอมโรอยู่ที่การเข้าซื้อกิจการอื่นในราคาที่สูงเกินไป แต่ยังคงแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 62 บาทมีอัพไซด์อยู่ที่ 22.8%
-BAY แม้ว่าในสายตาของตลาด BAY จะไม่ติดกลุ่มหุ้นยอดนิยม แต่เนื่องจากราคาตลาดที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีและหากพิจารณาจากอัตราส่วน P/Underlying Profits ปี 2006 ซึ่งอยู่ที่ระดับเพียง 3.4 เท่า คาดว่าหากมี
การพิจารณาน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารอีกครั้ง BAY น่าจะขึ้นชั้นเทียบเท่า
ผู้นำในตลาดได้
เอบีเอ็น-แอมโรเชื่อว่า หุ้นกลุ่มธนาคารของไทยจะปรับขึ้นไปอีก
ขณะที่หลายคนเกรงว่าข่าวร้ายเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง เป็นปัจ
จัยเสี่ยงสำหรับกลุ่มธนาคารนั้น เห็นว่าข่าวร้ายเหล่านั้นได้สะท้อนในราคาหุ้น
ไปก่อนหน้านี้แล้ว



efinancethai.com[/color:96c9fc154f">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com