April 20, 2024   2:04:47 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ผ่าเส้นทางโต."โรจนะ-ไทคอน"ทางเดียวกัน..ไปด้วยกัน
 

?????????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 103
วันที่: 10/09/2005 @ 17:23:02
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

จับตา สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJANA) ภายใต้นโยบาย Multiple Source สร้างรายได้จากหลากหลายธุรกิจ และให้เกิดการสนับสนุนระหว่างกัน


เกมธุรกิจของ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ในวันนี้ คล้ายการแตกหน่อธุรกิจใหม่ๆ เพื่อที่จะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน

ที่มาของรายได้ของโรจนะจะต่างจากคนอื่น โดยเราต้องการมีรายได้มาจากหลากหลายทาง (Multiple Source) แต่รายได้หลักยังคงมาจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม จิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ กล่าว ก่อนจะอธิบายต่อไปว่า รายได้ต่อเนื่องจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะมาจากรายได้หลังการขาย เช่น ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ

ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดอยุธยา และระยอง ธุรกิจขายไฟฟ้า ธุรกิจสาธารณูปโภคและบริการ และเงินลงทุนในบริษัทย่อย

เหตุนี้เองจึงทำให้ในแต่ละปี สัดส่วนรายได้ของโรจนะจะไม่เหมือนกัน

โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทจะมี รายได้หลัก มาจากการขายที่ดิน แต่ กำไร ถึงเกือบ 1 ใน 4 หรือราว 22.7% จะมาจากการลงทุนใน บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) ซึ่งปัจจุบันโรจนะ ถือหุ้นอยู่ 105.47 ล้านหุ้น หรือ 21.65%

แต่สำหรับปี 2549 จิระพงษ์ กล่าวว่า โครงสร้างรายได้ของบริษัทจะมาจากการขายคอนโดมิเนียมมากขึ้น

รายได้ของเราจะสลับสับเปลี่ยนกันไป เพราะมีรายได้หลายทาง จะทำให้เรามีตัวช่วยตลอดเวลา และไม่เกิดความเสี่ยง อย่างรายได้ปีที่ผ่านมา มาจากธุรกิจสาธารณูปโภค ค่าน้ำ ค่าไฟ คิดเป็นกำไร 0.30-0.40 บาทต่อหุ้นเลยทีเดียว และช่วง 18 ปีที่ทำธุรกิจมาเราไม่เคยขาดทุน เราจึงเชื่อว่าจะสู้กับคู่แข่งได้

จิระพงษ์ กล่าวว่า สำหรับธุรกิจขายไฟฟ้า ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท โรจนะเพาเวอร์ นั้น มีแผนขยายการผลิตเพิ่มในทุกๆ 2 ปี รองรับจำนวนโรงงานที่มากขึ้น โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมที่จ.อยุธยา จะมีพื้นที่โรงงานเพิ่มอีก 200 ไร่ แต่ลูกค้าหลักยังคงเป็นกฟผ. ถึง 90 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิต 145 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตเป็น 210 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 3-4 ปี 2549

ขณะที่ธุรกิจจัดหาน้ำจากแหล่งธรรมชาติให้กับโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ดำเนินธุรกิจโดย บริษัท โรจนะอินดัสเตรียล แมเนจเม้นท์ เป็นธุรกิจที่เพิ่งดำเนินกิจการเมื่อปี 2547 จากเดิมที่ใช้น้ำบาดาล ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 6 หมื่นลูกบาศก์เมตรต่อวัน ใช้จริงอยู่ 4 หมื่นลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทำให้มีรายได้เข้าสู่บริษัทอีกทางหนึ่ง

ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกธุริจหนึ่งที่โรจนะ เพิ่งเข้ามาทำเมื่อปี 2546 โดยมีโครงการก่อสร้างอาคารชุดเพื่อเช่า และขาย ?THE MADISON? อยู่ปากซอยถนนสุขุมวิท 41 อาคารสูง 36 ชั้น พื้นที่ขายทั้งหมด 148 ยูนิต มีขนาดตั้งแต่ 115- 222 ตารางเมตร

มูลค่าโครงการประมาณ 1,960 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณปี 2550 แต่สามารถขายได้หมดเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณ 10% ตั้งแต่ไตรมาส 4/2548 และจะรับรู้รายได้เต็มที่ในปี 2549

อนาคตเราจะทำแนวนี้ต่อไปเพื่อต้องการกระจายรายได้หลายทาง แต่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการสำรวจตลาด และความต้องการของลูกค้า โดยจะพิจารณาทำเล และการตลาดเป็นหลัก ซึ่งอาจจะไม่ได้ออกโครงการใหม่ในช่วง 3-6 เดือนนี้แน่

สำหรับการเข้าลงทุนใน บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่บริษัทต้องการกระจายรายได้ เพื่อช่วยสร้างรายได้เข้าบริษัทอีกทางหนึ่ง

จากการตรวจสอบพบว่า โรจนะซื้อหุ้น ไทคอน มาที่ต้นทุนประมาณหุ้นละ 4 บาท แต่ปัจจุบันราคาหุ้นขึ้นไปสูงกว่าหุ้นละ 11 บาท มีกำไรซ่อนอยู่กว่า 700 ล้านบาท

ครึ่งปี 2548 ไทคอน ประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.60 บาท โรจนะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลกว่า 63 ล้านบาท

เรามองว่าธุรกิจของไทคอนยังไปได้ดี และเกื้อหนุนกัน ที่ผ่านมาหากมีลูกค้าขนาดใหญ่ ไทคอนก็จะส่งให้เรา หากเรามีลูกค้าขนาดเล็ก ก็จะส่งไปให้ไทคอน ผมมองเป็นการ Synergy ระหว่างกันมากกว่า และมองไปถึงการลงทุนในรุ่นหลานอย่างการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ TFUND ซึ่งหากบริษัทเติบโต ก็จะทำให้เราได้ประโยชน์ และจะได้รับแบ่งกำไรจากปันผลเข้าสู่บริษัทอีก

สำหรับ ไทคอน ล่าสุดมีแผนจะขายสินทรัพย์ให้กับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) อีก 2,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้ผลสรุปไตรมาสแรกปี 2549

การขายสินทรัพย์ให้กับกองทุนเพิ่ม จะทำให้ไทคอน มีรายได้จากการบริหาร ได้รับเงินปันผลจากกองทุน และทำให้มีแหล่งเงินทุนในการซื้อที่ดิน และสร้างโรงงานเพิ่มเติมได้ โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2548 ไทคอนมีโรงงานที่ให้เช่าแล้ว 129 โรง มีโรงงานที่เซ็นสัญญาเช่าแล้วแต่ยังสร้างไม่เสร็จ 18 โรง มีโรงงานที่ว่างอยู่ 14 โรง และมีโรงงานที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 66 โรง

นอกจากนั้น ไทคอน ยังจัดตั้งบริษัทย่อยคือ ไทคอน โลจิสติกส์ พาร์ค มีพื้นที่ 405 ไร่ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ จะพัฒนาเป็นศูนย์ขนส่ง และคลังสินค้าขนาด 250,000 ตารางเมตร เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่เคยเช่าพื้นที่โรงงานของบริษัทเป็นศูนย์กระจายสินค้า

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของไทคอน ผู้บริหาร คาดว่าในปีนี้บริษัทจะมีรายได้ประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท

ทางด้านการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมของโรจนะ จิระพงษ์ มองว่า ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะยังเติบโตต่อเนื่องในระยะ 2-3 ปีข้างหน้านี้

เรามองว่าบริษัทผลิตรถยนต์มีแนวโน้มขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น กรณีฮอนด้าที่มาตั้งฐานการผลิตในไทย เริ่มมีการย้ายฐานการผลิตจอพลาสมาทีวี และกล้องดิจิทัล เข้ามาผลิตในไทย จะผลักดันให้นิคมอุตสาหกรรมยังเติบโตได้ต่อเนื่อง

ทั้งนี้โรจนะมีที่ดินรอการขายอยู่ทั้งหมด 1,816 ไร่ แบ่งเป็นที่ดินในจ.อยุธยา 1,335 ไร่ และจ.ระยองอีก 481 ไร่ สามารถรองรับการขายได้ถึง 3-4 ปี นอกจากนั้น ยังมีที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะฉางโจว ประเทศจีนอีก 550 ไร่ ซึ่งยังไม่ได้เปิดการขาย โดยคาดว่าปีหน้าจะเริ่มมีรายได้เข้าสู่บริษัท

จิระพงษ์ ตั้งเป้ายอดขายที่ดินของโรจนะในปีนี้ไว้ว่า จะขายได้มากกว่า 550 ไร่ หลังจากครึ่งปีแรกขายที่ดินไปแล้ว 470 ไร่ นอกจากนี้ยังมีรายได้เงินปันผลจากไทคอนเข้ามาอีก เพราะฉะนั้นในปีนี้จึงคาดว่าจะมีรายได้เติบโตราว 15-20% ส่วนปี 2549 คาดว่ารายได้รวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 15%

โดยเป็นรายได้จากการขายที่ดิน ซึ่งคาดว่าขยายตัว 15% และรายได้จากยอดขายคอนโดมิเนียม สุขุมวิท 41 ที่ขายไปแล้วมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท รวมทั้งยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ฉางโจว ในประเทศจีนอีกประมาณ 100 ไร่

สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ และปี 2549 โรจนะ มีงบลงทุนจำนวน 3,600 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนขยายโรงไฟฟ้า 1,600 ล้านบาท และ 2,000 ล้านบาท ใช้พัฒนาที่ดินในเฟสที่ 7 และซื้อที่ดินเพิ่มเติม โดยแหล่งเงินจะมาจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินภายในประเทศ [/color:552001b998">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com