Kuririn
สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 26 |  วันที่: 12/09/2005 @ 08:40:00 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต กรุงเทพฯ -- 12 ก.ย. -- กระแสหุ้นรายวัน
เนาวรัตน์พัฒนาการ เริ่มต้นสู่ช่วงขาขึ้น หลังเพิ่มทุนสำเร็จ ความเสี่ยงทางด้านการเงินลดลง คาดสิ้นปีนี้จะอยู่ในฐานะเงินสดสุทธิ เตรียมออกจากแผนฟื้นฟูกิจการปลายเดือนนี้ เผยจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่แกร่งช่วยเกื้อหนุนให้งานเพิ่ม โอกาสคว้างานรับเหมาช่วง เมกะโปรเจกต์ มากที่สุด ตั้งเป้าเติบโตยอดขายปีนี้เพิ่มขึ้น 20% หรือทะลุ 4 พันล้านบาท นักวิเคราะห์ประเมินราคาหุ้นเหมาะสมอยู่ที่ 1.65 บาท
นายวัชรภัทร วัชราภัย ผู้จัดการฝ่ายวางแผนและกลยุทธ์การลงทุน บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR เปิดเผยว่า สำหรับการเพิ่มทุนขายให้แก่นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง จำนวนหุ้น 300 ล้านหุ้น และขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม 1,820 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะนี้เพิ่มทุนสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมเป็นเงินที่ได้จาการเพิ่มทุนในครั้งนี้จำนวน 2,120 ล้านบาท
สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปใช้คืนเจ้าหนี้จากการปรับโครงสร้างหนี้ประมาณ 500 ล้านบาท บางส่วนจะนำไปใช้คืนเจ้าหนี้ทางการค้า และส่วนที่เหลือบริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท เพื่อที่จะรองรับโครงการเมกะโปรเจกต์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
มั่นใจผลกำไรครึ่งปีหลังออกมาดี
นายวัชรภัทร กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3 และ 4 จะออกมาดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรกอย่างแน่นอน เนื่องจากในช่วงปีแรกนั้น บริษัทมีโครงการเก่าที่ค้างมาในช่วง 2-3 ปีก่อน ซึ่งบริษัทมีต้นทุนภาระค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงทำให้ในช่วงครึ่งปีแรก ผลประกอบการของบริษัทยังมีผลขาดทุนอยู่ 1,800 ล้านบาท และหลังจากที่เพิ่มทุนเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะเหลือขาดทุนสมเพียง 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น และบริษัทคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดภายไตรมาส 2/2549 ซึ่งหลังจากล้างขาดทุนสะสมได้แล้ว บริษัทก็มีแผนที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
เรามั่นใจว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลัง จะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรกอย่างแน่นอน โดยเราได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายทั้งปีเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกันปีที่แล้ว หรือคิดเป็นเงินประมาณ 4 พันล้านบาท และมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ตามเป้าที่ได้ตั้งไว้อย่างแน่นอน เพราะในครึ่งปีแรกเราสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 1,480 ล้านบาท
ลุยรับงานใหญ่ใน-นอกประเทศ
นายวัชรภัทร กล่าวถึงแผนงานในครึ่งปีหลังว่า บริษัทได้รับงานใหญ่จากทางบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ITD ที่ประเทศดูไบ มูลค่าโครงการประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนของการรับงานคือ ทางบริษัทได้รับมูลค่าโครงการประมาณ 40% และส่วนที่เหลืออีก 60% นั้นทาง ITD จะเป็นผู้รับไป นอกจากนี้บริษัทยังได้รับงานโครงการจากกรมศุลการ เป็นเอ็กซ์ปอร์ต ตู้คอนเทนเนอร์ มูลค่าโครงการประมาณ 260 ล้านบาท ส่วนโครงการใหม่ๆ ที่บริษัทจะเข้าก็ไปทำก็คือ งานโครงการเมกะโปรเจกต์ของทางภาครัฐ คาดว่าทางบริษัทมีโอกาสค่อนข้างสูงในการที่จะได้รับงานดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปรับงานในประเทศดูไบเพิ่มเติม อาจจะเข้าร่วมกับผู้รับเหมารายอื่นๆ นอกเหนือจากที่ได้รับงานร่วมกับทางอิตาเลียนไทยฯ แต่ทั้งนี้คงจะต้องดูลักษณะ ของงานและความเหมาะสมด้วย ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าโครงการที่อยู่ในมือประมาณ 8,000 ล้านบาท และบริษัทจะพยายามเพิ่ม Backlog ของงานให้เพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตของยอดขายส่วนประเด็นเรื่องของภาวะราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายต่างก็ได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมันอย่างแน่นอน ส่วนผลกระทบต่อบริษัทไม่มากนัก ส่วนเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นช่วงขาขึ้น ทางบริษัทก็ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากบริษัทได้เพิ่มทุนไปแล้ว ดังนั้นทำให้บริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินเพิ่ม หลังจากที่เพิ่มทุนแล้วส่งผลให้บริษัทมีอัตราหนี้ต่อทุนอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.6 เท่า จากเดิมที่มีอยู่ที่ 6 เท่า ดังนั้นบริษัทจึงไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด
พื้นฐานราคาหุ้นอยู่ที่ 1.65บาท
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเซีย จำกัด เปิดเผยว่า หลังเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมและพันธมิตรใหม่สำเร็จ NWR เหมือนกับได้ตั้งต้นธุรกิจใหม่อีกครั้ง พร้อมเงินในมือ 1,821 ล้านบาท ผลดีในระยะสั้นคือ จะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายในปลายเดือนนี้ ในวันนี้จะมีการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ 540 ล้านบาท มูลค่าหุ้นทางบัญชีปรับเพิ่มขึ้น ปลายปีนี้คาดว่าเป็น 1.00 บาท เทียบกับไตรมาส 2 ที่ 0.97 บาท และประการสำคัญความเสี่ยงทางด้านการเงินลดลงมาก คาดว่าสิ้นปีนี้จะอยู่ในฐานะเงินสดสุทธิเทียบกับไตรมาส 2 ที่มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนสูงเป็น 6.4 เท่า นอกจากนี้ตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการหากบริษัทนำเงินไปชำระหนี้ที่ปรับโครงสร้างและหุ้นกู้แปลงสภาพ จะได้รับยกเว้นดอกเบี้ยค้างจ่าย ทำให้มีโอกาสที่จะบันทึกกำไรจากรายการพิเศษอีกมาก
ในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหม่ที่มาซื้อหุ้นที่เหลือจากให้ผู้ถือหุ้นเดิม ที่โดดเด่นคือ STEC ผนวกกับ ITD ที่ประกาศว่าจะใส่เงินเพิ่มทุนให้ NWR ในหุ้นเพิ่มทุน PP 150 ล้านบาท ทำให้ NWR โดดเด่นที่สุดในผู้รับเหมาขนาดกลางที่มีโอกาสจะได้รับงานรับเหมาช่วงเมกกะโปรเจกต์จากผู้รับเหมารายใหญ่ที่สุดของประเทศทั้ง 2 ราย ปรับประมาณการกำไรปี 2548 และ 2549 ให้ดีขึ้น เพราะแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ราคาเป้าหมายคำนวณจาก P/E ปี 49 ที่ 25.0 เท่า และลดทอนด้วยอัตราส่วนลด 15% จะได้ราคาเป้าหมายที่ 1.65 บาท มูลค่างานในมือสูงถึง 8,000 ล้านบาทแล้ว แม้ในยามที่งานเมกะโปรเจกต์จะมีการเปิดประมูลค่อนข้างล่าช้ากว่าแผนเดิมมากก็ตาม ล่าสุดได้รับงานถนนสายสนับสนุนสนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่า 354 ล้านบาท มูลค่างานในมือเปรียบเทียบกับรายได้ตกปีละ 3,600 ล้านบาท จะอยู่ไปได้ 2.2 ปี นับว่ามีความมั่นคงทางด้านรายได้แนวโน้มผลการดำเนินงานทยอยดีขึ้น ในครึ่งปีแรกผลการดำเนินงานตกต่ำ สาเหตุสำคัญมาจากอัตรากำไรขั้นต้นติดลบ อันเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากงานถนน 2 โครงการคือ บ้านเพ-ดำเนินสะดวก และ ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ ที่เกิดภาวะ Cost Overrun แต่ทั้งสองงานได้จบลงไปแล้ว จากมูลค่างานในมือปัจจุบันจะมีทั้งส่วนที่มีกำไรและเท่าทุน จึงคาดว่าในครึ่งปีหลังอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวเป็นบวกได้ และอัตรากำไรขั้นต้นในปีหน้าจะดีขึ้นกว่าเดิม เพราะงานใหม่ที่รับมาเสนอในราคาที่ดีขึ้น
คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะขาดทุนน้อยลงเป็น 14 ล้านบาท น้อยกว่าครึ่งปีแรกที่มีขาดทุนสุทธิถึง 200 ล้านบาท ทั้งนี้คาดการณ์ว่าขาดทุนจากการดำเนินงานทั้งปี 48 เป็น 191 ล้านบาท แต่รายการที่มาช่วยได้มาก คือคาดว่าบริษัทจะมีการรับรู้กำไรจากการได้รับยกเว้นดอกเบี้ยค้างจ่าย 187 ล้านบาท จากการนำเงินบางส่วนจากการเพิ่มทุนไปชำระหนี้และได้รับยกเว้นดอกเบี้ยค้างจ่ายตามข้อตกลงในแผนฟื้นฟูกิจการส่วนปี 49 คาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 178 ล้านบาท จากสมมุติฐานว่าบริษัทจะมีอัตราเติบโตของรายได้จากการก่อสร้างเป็น 30% และอัตรากำไรขั้นต้นขยับขึ้นมาเป็น 8.0% นอกจากนี้ภาระดอกเบี้ยจ่ายก็จะปรับลดลงจากการที่ NWR นำเงินเพิ่มทุนไปชำระหนี้บางส่วน
ผู้ถือหุ้นใหม่แข็งแกร่ง-เกื้อหนุน
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า NWR ได้เพิ่มทุนสำเร็จ 1,820 ล. (ที่ราคา 1 บาทต่อหุ้น) โดยแบ่งเป็นการใช้สิทธิ์จากผู้ถือหุ้นเดิม (อัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 5 หุ้นใหม่ที่ราคา 1 บาท) 1.22 พันล. และ เสนอขายแก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจง 603.3 ล. ได้พันธมิตรใหม่จากการขายหุ้น PP จากทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ โดยในประเทศเสนอขาย PP 81.3 ล้านหุ้น มี STEC เป็นผู้ลงทุนด้วยแต่คิดเป็นส่วนน้อย ขณะที่เสนอขาย PP ให้นักลงทุนต่างประเทศจำนวน 522 ล้านหุ้น ประกอบด้วย Parkmix limited ซึ่งเป็นกองทุนจากประเทศอังกฤษ และ Bear Stearns international limited -Proprietary account จากประเทศสหรัฐอเมริกา เชื่อว่า NWR น่าจะได้มีส่วนร่วมในการรับงานรับเหมาช่วงจาก STEC ในอนาคต ดังนั้นการปริมาณงานน่าจะเพิ่มขึ้นมากผลสำเร็จของการเพิ่มทุนทำให้ NWR น่าจะออกจากแผนฟื้นฟูได้ และกลับมาดำเนินงานเป็นปกติ ซึ่งเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนดังกล่าวจะถูกนำไปชำระหนี้ (ทั้งหนี้จากธนาคาร และ เจ้าหนี้การค้า) 1.23 พันล้านบาทซึ่งคาดว่าจะได้รับกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ประมาณ 180 ล. ส่วนเงินเพิ่มทุนที่เหลือประมาณ 600 ล้านบาทจะนำไปใช้ในการขยายงาน โดยคาดว่าส่วนของผู้ถือหุ้นจะเพิ่มจาก 177 ลบ. ณ สิ้นไตรมาส 2/48 เป็น 2 พันล. (หลังเพิ่มทุน PP) โดยคาดว่า BVPS ณ สิ้นปี 48 จะเท่ากับ 1.01 บาทต่อหุ้น ประเมินราคาตามปัจจัยพื้นฐานปี 48 ที่ 1.4 บาทต่อหุ้น--จบ--
|
