April 23, 2024   6:45:39 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > STAR เทรด 15 ก.ย
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 13/09/2005 @ 15:13:34
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

STAR มั่นใจเทรด 15 ก.ย.หุ้นเหนือจอง หวังไอพีโอซบ นลท.หันสนหุ้นเล็ก คาดรายได้ปี
49 โตเกิน 20% [/color:5a80e2fc50">

นายสมชัย ว่องอรุณ กรรมการผู้อำนวยการบมจ.สตาร์ ซานิทารีแวร์ (STAR) กล่าวว่า การ
ที่บริษัทจะเข้าซือ้ขายในตลาดใน MAI ในวันที่ 15 กันยายนนี้ เชื่อว่าราคาหุ้นจะสามารถยืนเหนือ
ราคาจองที่ 3.50 บาท ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากสภาวะตลาดโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ประกอบ
กับหุ้นที่อยู่ในตลาดมีไม่มาก เพียง 32.5 ล้านหุ้น ในขณะเดียวกันที่ราคาหุ้นยังมีส่วนลดให้กับนัก
ลงทุน 20%
นอกจากนั้นการที่เดือน ก.ย.นี้ไม่มีหุ้นไอพีโอใหม่เข้าจดทะเบียน ทำให้คาดว่านักลงทุนน่า
จะให้ความสนใจหุ้น STAR
นายสมชัยกล่าวว่า บริษัทยังคาดว่าในปีหน้า รายได้จะเติบโตมากกว่า 20% จากปีนี้ที่บริษัท
คาดว่าจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งปี 2547 บริษัทมีรายได้รวม 285.33 ล้านบาท
กำไร 37.74 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะลดลง จากปัจจุบันบริษัทจะต้องจ่าย
ปีละ 20 ล้านบาท หลังจากที่นำเงินจากการขายไอพีโอไปชำระคืนเงินกู้บางส่วน
อีกทั้งเนื่องจากในปีหน้าบริษัทจะมีการปรับเกรดสินค้า เป็น D+ ถึง A- จากเดิมเป็นสินค้า
ระดับ B โดยการปรับสินค้าดังกล่าวจะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม 10% อีกทั้งในปีหน้าบริษัทจะมีกำลัง
การผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 12,000 ตันต่อปี จากเดิม 9,000 กว่าตันต่อปี โดยจะเริ่มมีการทดสอบ
เครื่องจักร และเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงไตรมาส 2/49 และจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ไตรมาส
4/49
เรามั่นใจว่าราคาหุ้นจะสามารถยืนเหนือราคาจองได้อย่างแน่นอน อีกทั้งคาดว่านักลงทุนจะ
ถือหุ้นยาว เนื่องจากมีหุ้นในตลาดไม่มาก อีกทั้งภาวะตลาดดี และการที่บริษัทนำหุ้นเทรดในช่วง
ช่วงเดือนกันยายนนั้นเป็นช่วงที่ไม่มีหุ้นตัวอื่นเข้าเทรดจะทำให้เป็นหุ้นที่โดดเด่นและได้รับความ
สนใจมาก นายสมชัยกล่าว

 กลับขึ้นบน
อาฟง
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
#1 วันที่: 13/09/2005 @ 15:14:36 : re: STAR เทรด 15 ก.ย
บล.ไซรัส : หุ้นน้องใหม่ STAR ประเมินมูลค่าหุ้นที่ 4.70 บาท [/color:8b3dd1fab2">

สตาร์ ซานิทารีแวร์ [/color:8b3dd1fab2">

เป็นผู้ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ที่มีความสามารถในการทำกำไรโดดเด่น

STAR ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์ โดยเน้นตลาดส่ง
ออกเป็นหลักซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 74% ของยอดขายรวม ขณะที่การจำหน่ายใน
ประเทศมีสัดส่วนประมาณ 26% โดยเครื่องสุขภัณฑ์ของ STAR ได้รับมาตรฐานใน
ระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน ANSI และ ASME จากประเทศอเมริกา, BS จาก
ประเทศอังกฤษ, JIS จากประเทศญี่ปุ่น, CSA จากประเทศแคนาดา และ PSB จาก
ประเทศสิงคโปร์
ตลาดส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์ ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยมีปัจจัย
สนับสนุนหลักคือต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะค่าแรงงานในประเทศไทยยังต่ำกว่าต่าง
ประเทศมาก ในขณะที่คุณภาพแรงงานมีฝีมือเป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้พฤติกรรมผู้
บริโภคในต่างประเทศจะมีการเปลี่ยนชุดเครื่องสุขภัณฑ์ภายในบ้านเฉลี่ยเร็วกว่า
ประเทศไทย ขณะที่ STAR ได้เปรียบบริษัทอื่นในการขยายตลาดส่งออกเนื่องจากมี
ผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย 100% ทำให้มีความยืดหยุ่นในการขาย ไม่ต้องถูกจำกัด
ตามนโยบายของบริษัทแม่
ตลาดการส่งออกสุขภัณฑ์ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี รวมถึงมีอัตรากำไร
ขั้นต้นในระดับสูง แต่การเข้ามาทำธุรกิจของผู้ผลิตรายใหม่ในอุตสาหกรรมเครื่อง
สุขภัณฑ์มีความเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยบุคลากรที่มี
ทักษะและความชำนาญในระดับสูง
บริษัทเป็นผู้ผลิตที่มีอัตรากำไรขั้นต้นโดดเด่นที่สุดในอุตสาหกรรม โดยอยู่
ในระดับที่สูงถึง 41.3% ขณะที่คู่แข่งอยู่ที่ระดับประมาณ 25-32% การที่ STAR มีสัด
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นสูงมีสาเหตุจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่าย
รวมถึงความสามารถในการลดอัตราการสูญเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับ
เน้นขายสินค้าในต่างประเทศซึ่งมี margin สูงกว่าการขายในประเทศ
ปัจจุบัน STAR มีอัตราการใช้กำลังการผลิตถึง 81% ขณะที่ความต้องการ
ของลูกค้าทั้งเก่าและใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีแผนขยายกำลังการ
ผลิตเพิ่มอีก 3,000 ตัน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 32.5% โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 60 ล้าน
บาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ต้นปี 2549
คาดยอดขายในปี 2548 จะเติบโต 25.4% y-y และปี 2549 จะเติบโต
27.7% y-y จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น ในปี 2548 คาด
ว่าจะเท่ากับ 48.4% ขณะที่คาดว่าจะลดลงเป็น 47.5% ในปี 2549 เนื่องจากอยู่ในช่วง
เดินเครื่องจักรใหม่ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายและอัตราการสูญเสียสูง และคาดว่า
กำไรปกติจากการดำเนินงานปี 2548 และปี 2549 จะเติบโต 133.2% y-y และ 16.0%
y-y ตามลำดับ
ประเมินมูลค่าหุ้นโดยวิธี DCF ได้ราคาปัจจัยพื้นฐานที่ 4.70 บาท คิดเป็น
P/E ปี 2548 และ 2549 ที่ 10.1 เท่า และ 8.7 เท่า ตามลำดับ


ธุรกิจของสตาร์ ซานิทารีแวร์ และโครงสร้างรายได้
STAR เป็นผู้ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยราย
ได้หลักมาจากการจำหน่ายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ STAR ก่อตั้งเมื่อวันที่ 23
สิงหาคม 2533 ดำเนินธุรกิจ (1) ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ดินเผาเคลือบวิเทรียสไช
น่า (Vitreous China) พร้อมอุปกรณ์ประกอบห้องน้ำ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม
9,230 ตัน/ปี โดยจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า ?STAR?
รวมทั้งรับจ้างผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ให้กับลูกค้าต่างประเทศ (Original Equipment
Manufacturer: OEM) (2) จำหน่ายส่วนประกอบของเครื่องสุขภัณฑ์ (3) ผลิตสันโค้ง
ครอบหลังคาเซรามิก
รายได้หลักมาจากการจำหน่ายสุขภัณฑ์ โดยในไตรมาส 1/2548 มีสัดส่วน
การขายต่างประเทศและภายในประเทศประมาณ 74:26 โดยตลาดส่งออกที่สำคัญ
ของบริษัทฯ ประกอบด้วยประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วน
49.3%, 8.2% และ 12.8% ของยอดขายรวมตามลำดับ เครื่องสุขภัณฑ์ที่ขายใน
ประเทศทั้งหมดจะเป็นตราผลิตภัณฑ์ ?STAR? ขณะที่เครื่องสุขภัณฑ์ส่งออกจะมีทั้ง
ที่เป็นตราผลิตภัณฑ์ ?STAR? และการรับจ้างผลิตโดยใช้ตราผลิตภัณฑ์ของลูกค้า
(OEM)
ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
รวมทั้งได้รับการรับรองมาตรฐานของสถาบันตรวจสอบคุณภาพจากต่างประเทศ เช่น
ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้
รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2000 จากสถาบัน RWTÜV ประเทศเยอรมัน
ปัจจุบันบริษัทฯ มีตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ในประเทศรวมทั้งสิ้น 328 ราย และ
สำหรับการส่งออก บริษัทฯ จำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์ของบริษัทฯ ผ่านผู้จัดจำหน่าย
(Distributor) จำนวน 23 ราย

ผลิตภัณฑ์หลักของ STAR
1.ผลิตและจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์ดินเผาพร้อมอุปกรณ์ประกอบห้องน้ำ
ได้แก่ โถสุขภัณฑ์พร้อมถังพักน้ำ อ่างล้างหน้า โถปัสสาวะชาย โถอเนกประสงค์ ที่
วางสบู่ ที่ใส่กระดาษชำระ เป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้บริษัทฯ มีการผลิตทั้งภายใต้
ชื่อ ?STAR? และ OEM โดยในปัจจุบันมีสัดส่วนการผลิตและจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์
ภายใต้เครื่องหมายการค้า ?STAR? ต่อ OEM ประมาณ 70:30
2.จำหน่ายส่วนประกอบของเครื่องสุขภัณฑ์ ได้แก่ อ่างอาบน้ำ ฝารองนั่ง
พร้อมฝาปิด อุปกรณ์ชุดหม้อน้ำ ก๊อกน้ำ ราวแขวนผ้าเช็ดตัว และที่กดชักโครก เป็น
ต้น โดยบริษัทฯ จะสั่งผลิตสินค้าที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสุขภัณฑ์ดังกล่าว ภาย
ใต้เครื่องหมายการค้า ?STAR? มาเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าที่ต้องการเครื่องสุขภัณฑ์
ครบชุด
3.ผลิตและจำหน่ายสันโค้งครอบหลังคาเซรามิก โดยในปี 2547 บริษัทฯ
ได้เริ่มรับจ้างผลิตสันโค้งครอบหลังคาเซรามิก ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่จะเชื่อมต่อกระเบื้อง
มุงหลังคาให้แก่ลูกค้าในประเทศรายหนึ่ง โดยสัญญามีอายุ 2 ปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.
48 และภายหลังจากที่สัญญาดังกล่าวสิ้นสุดลง บริษัทฯ จะยังคงรับจ้างผลิตสันโค้ง
ครอบหลังคาเซรามิกให้กับลูกค้ารายดังกล่าวต่อไป
STAR มีแผนระดมทุนเพื่อใช้คืนเงินกู้และขยายกำลังการผลิต STAR มี
แผนที่จะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 36.0 ล้านหุ้น แบ่งเป็นขายให้แก่ประชาชนทั่วไป
32.5 ล้านหุ้น และขายให้แก่กรรมการและพนักงาน 3.5 ล้านหุ้น โดยจะนำเงินที่ได้รับ
จาก IPO ไม่น้อยกว่า 75.0% หรือไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท มาชำระหนี้เงินกู้ตาม
เงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ นอกจากนั้นจะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตอีก
3,000 ตัน/ปี โดยจะซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ (เตาเผา) มาติดตั้งเพิ่มเติมในบริเวณ
โรงงานปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 60 ล้านบาท ภายหลังการขยายกำลัง
การผลิตจะมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 12,230 ตัน/ปี เพิ่มขึ้น 32.5% จากกำลังการผลิต
ปัจจุบันที่ 9,230 ตัน/ปี และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ประมาณต้นปี
2549

เนื่องจากรายได้ประมาณ 74.0% ของบริษัทมาจากการส่งออก ดังนั้นแนว
โน้มการเติบโตของบริษัทฯ จึงขึ้นกับตลาดส่งออกมากกว่าตลาดในประเทศ โดย
ตลาดส่งออกยังมีแนวโน้มเติบโต เนื่องจากต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าในต่าง
ประเทศจะสูงมาก ดังนั้นต่างประเทศจึงมีแนวโน้มที่จะหันมานำเข้าสินค้าจากประเทศ
ไทยซึ่งการผลิตมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับและราคาถูกกว่า สำหรับแนวโน้มการเติบโต
ของตลาดภายในประเทศจะขึ้นอยู่กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เราเชื่อว่ายังมีแนวโน้ม
เติบโต

ภาพรวมธุรกิจ-ตลาดส่งออก
มูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์ของประเทศไทยในปี 2547 อยู่ที่
ระดับ 3,818 ล้านบาท โดยส่งออกไปสหรัฐอเมริกามากที่สุด รองลงมาได้แก่ อังกฤษ
และญี่ปุ่น ซึ่งตลาดทั้งสามมีขนาดเป็น 51.5% ของตลาดรวม และเป็นตลาดเป้าหมาย
หลักของบริษัทฯ เช่นกัน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวของประชากรอยู่ใน
ระดับที่สูงและเป็นตลาดที่มีกำลังการซื้อสูง นอกจากนั้นอุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์
เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานฝีมือจำนวนมากและการที่ค่าแรงคนงานท้องถิ่นอยู่
ในระดับที่สูง จึงส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าของต่างประเทศอยู่ในระดับ
สูง เหตุผลดังกล่าวจึงเป็นโอกาสในการเข้าไปขยายตลาดของเครื่องสุขภัณฑ์จาก
ประเทศไทยซึ่งเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงและราคาถูกกว่า ดังนั้นจึงคาดว่ามูลค่าการส่ง
ออกเครื่องสุขภัณฑ์ไปต่างประเทศจะยังมีโอกาสขยายตัวได้

ตลาดส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์
ภาพรวมธุรกิจ-ตลาดในประเทศ
แนวโน้มธุรกิจเติบโตตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจผลิต
และจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในอาคาร จึงมีความเกี่ยว
เนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง โดยภาคอสังหาริมทรัพย์ภายหลังจากที่เกิด
ภาวะฟองสบู่แตกในปี 2540 ก็ค่อยๆ กลับมาขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี ตามการ
เจริญเติบโตของ GDP แม้ว่าจะมีแนวโน้มชะลอลงบ้างเพราะผลของราคาน้ำมันและ
ปัญหาภาคใต้ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากเส้นแนวโน้มยังแสดงให้เห็นว่าธุรกิจ
อสังหาฯ ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และเมื่อเทียบจากค่าเฉลี่ยจำนวนที่อยู่อาศัยและ
คอนโดมิเนียมจดทะเบียน 10 ปีย้อนหลัง (2533-2542) อยู่ที่ระดับ 137,465 และ
52,503 หน่วย ในขณะที่ในปี 2547 ยังอยู่ที่เพียง 62,796 และ 10,387 หน่วย ตาม
ลำดับ แสดงว่าธุรกิจอสังหาฯ ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีก
นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาเครื่องชี้วัดภาวะอสังหาฯ ที่สำคัญอื่นๆ จะเห็นได้
ว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เช่น มูลค่าซื้อขายที่ดินทั่วประเทศ ปริมาณ
การจำหน่ายปูนซีเมนต์ หรือมูลค่าการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัย รวมถึงการลงทุนใน
โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ รถไฟฟ้าใต้ดิน
ฯลฯ ก็น่าจะเป็นแรงหนุนให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เติบโตได้ในระดับดี เพราะจะทำให้
เกิดทำเลที่อยู่อาศัยใหม่ๆ จากการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว จะช่วยให้
อุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศมีการขยายตัวตามไปด้วย ดังจะเห็นได้ว่า
ปริมาณการจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากจำนวน
2.6 ล้านชิ้นในปี 2544 เป็นจำนวน 4.4 ล้านชิ้นในปี 2547 หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น
เฉลี่ย 19.0% ต่อปี
ประสบความสำเร็จในการบุกตลาดส่งออก จากเดิมที่เน้นขายในประเทศ
เป็นหลัก แต่หลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวในปี 2540 ส่งผลให้ความต้องการสุขภัณฑ์
ในประเทศลดลงอย่างรวดเร็ว บริษัทฯ จึง เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่โดยเน้นขายต่าง
ประเทศมากขึ้น และจากการที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีคุณภาพสูง จึงทำให้เป็นที่
ยอมรับจากลูกค้าต่างประเทศอย่างรวดเร็ว จนในปัจจุบันยอดขายส่งออกมีสัดส่วนถึง
74.0% ของยอดขายรวม ตลาดหลักคืออังกฤษ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็น
ตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ให้ Margin ที่ดีกว่า ดังจะเห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้นของ
บริษัทฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด
ตลาดส่งออกยังสามารถขยายได้อีกมาก แม้ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายจาก
การส่งออกเป็นหลัก แต่ยังมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดส่งออกรวม ทำให้มี
โอกาสในการเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะจากปัจจัยสนับสนุนหลักคือต้นทุนการผลิต
โดยเฉพาะค่าแรงงานในประเทศไทยจะต่ำกว่าต่างประเทศมาก ในขณะที่คุณภาพ
แรงงานมีฝีมือเป็นที่ยอมรับ ทำให้บริษัทต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะมาจ้างให้บริษัทฯ
เป็นผู้ผลิตแทน นอกจากนี้พฤติกรรมผู้บริโภคในต่างประเทศจะมีการเปลี่ยนชุดเครื่อง
สุขภัณฑ์ภายในบ้านเฉลี่ยทุกๆ 5 ปี ต่างจากในประเทศไทยที่จะใช้งานเครื่อง
สุขภัณฑ์นานถึง 20 ปี ดังนั้นทำให้บริษัทสามารถส่งออกสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง
สินค้าจากประเทศจีน ไม่กระทบ STAR เนื่องจากตลาดเป็นคนละกลุ่ม ใน
ช่วงปี 2544-2547 สินค้าเครื่องสุขภัณฑ์นำเข้าจากจีนมีอัตราการเติบโตสูงสุดเฉลี่ย
ถึง 126% ต่อปี อย่างไรก็ตามสินค้าจากจีนส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าราคาถูกและเน้น
ตลาดระดับล่างเป็นหลัก ในขณะที่สินค้าของ STAR จะมุ่งเน้นตลาดระดับกลางถึงบน
เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายคนละกลุ่มกับสินค้าจากประเทศจีน
STAR มีผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย 100% ทำให้มีความยืดหยุ่นในการส่งออก
และการรับจ้างผลิต เนื่องจาก STAR เป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย 100% ใน
ขณะที่บริษัทอื่นในอุตสาหกรรมจะมีผู้ถือหุ้นต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำให้การขาย
และการรับจ้างผลิตของ STAR ไม่ต้องถูกจำกัดตามนโยบายของบริษัทแม่เหมือนคู่
แข่ง โดย STAR สามารถที่จะส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศได้ทั่วโลกหรือเลือกที่จะ
รับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทใดก็ได้ ทำให้บริษัทฯ จะมีความยืดหยุ่นและสามารถ
ขยายฐานตลาดได้กว้างกว่าคู่แข่ง
ธุรกิจเครื่องสุขภัณฑ์เป็นธุรกิจที่มี Barrier to entry สูง ขณะที่ตลาดการส่ง
ออกสุขภัณฑ์ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี รวมถึงมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูง แต่การ
เข้ามาทำธุรกิจของผู้ผลิตรายใหม่ในอุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์มีความเป็นไปได้
ยาก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยบุคลากรที่มีทักษะและความชำนาญใน
ระดับสูง ทำให้ปัจจุบันแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้หายากและเป็นที่ขาดแคลน
ตลอดจนการที่ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับคุณภาพและตราผลิตภัณฑ์ ดังนั้นจึงทำ
ให้การแข่งขันของอุตสาหกรรมเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศเป็นการแข่งขันของผู้ผลิต
น้อยราย
ผลิตภัณฑ์ของ STAR ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในระดับโลก ปัจจัย
สำคัญของธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้คือความสามารถในการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน
STAR ให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก โดยจะมีการควบคุม
ในทุกขั้นตอนการผลิต มาตรฐานการผลิตของบริษัทฯ จึงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ดังจะเห็นได้จากการที่บริษัทฯ ได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ISO 9001 : 2000
ประกอบกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
(ม.อ.ก.) สำหรับเครื่องสุขภัณฑ์ทุกประเภท และมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากประเทศ
ต่างๆ
บริษัทเป็นผู้ผลิตที่มีอัตรากำไรขั้นต้นโดดเด่นในอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีผู้
ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศอยู่ 8 ราย โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 160,000
ตันต่อปี หรือ ประมาณ 13.5 ล้านชิ้นต่อปี (ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม) ผู้ผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ที่มีกำลังการผลิตสูงสุด 3 รายแรก ประกอบด้วย
บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด บริษัท เครื่องสุขภัณฑ์อเมริกันสแตนดาร์ด จำกัด
และบริษัท โคห์เลอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันประมาณ
75.0% ทั้งนี้ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 7.0 ? 8.0% ของตลาด
สุขภัณฑ์รวม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้นำตลาด แต่จากการที่บริษัทฯ มีผู้บริหารที่มี
ประสบการณ์ทางด้านเครื่องสุขภัณฑ์มานานและมีบุคลากรที่มีทักษะและความ
ชำนาญในการผลิตสูง นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีที่ปรึกษาทั้งชาวไทยและชาวอังกฤษ
มาช่วยถ่ายทอดความรู้และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำ
ให้สามารถควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี และสามารถควบคุมอัตราการ
สูญเสียให้ลดลงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการรักษาระดับกำไรขั้นต้น
ประกอบกับการที่บริษัทฯ เน้นขายสินค้าในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งเป็นสินค้าที่มี
ระดับราคาที่สูง ทำให้ได้รับ margin ที่สูงกว่าการขายสินค้าในประเทศ เหตุผลดัง
กล่าวจึงทำให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดในอุตสาหกรรม โดยในปี 2547
บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 41.3% ขณะที่คู่แข่งจะอยู่ที่ระดับประมาณ 25-32%
การขยายกำลังการการผลิตอีก 32.5% คาดว่าจะมีตลาดรองรับ อัตราการ
ใช้กำลังการผลิต ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 54.8% ในปี 2545 มาอยู่ที่
81.4% ในไตรมาส 1/2548 ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงสำหรับธุรกิจเครื่องสุขภัณฑ์ ดัง
นั้นบริษัทฯ จึงมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 3,000 ตัน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 32.5% โดย
คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 60.0 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ต้นปี 2549 และคาดว่า
จะมีตลาดรองรับได้ตามปริมาณการผลิตที่ขยายจากความต้องการของตลาดส่งออกที่
ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามในปีแรกคาดว่าจะใช้กำลังการผลิตในส่วนขยาย
ประมาณ 50.0% เนื่องจากยังต้องใช้เวลาการทดลองเครื่องจักรใหม่
ภายหลังการเพิ่มทุนฐานะการเงินจะแข็งแกร่งขึ้น คาด Net D/E สิ้นปี
2548 ลดลงเหลือ 0.6 เท่า ที่ผ่านมา STAR มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัย
แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่จากการกู้ยืมเงินและยังมีเงินกู้ยืมบางส่วนที่เป็นเงินตราต่าง
ประเทศ ซึ่งภายหลังจากการลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 ทำให้บริษัทฯ ต้องรับรู้
ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 112 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้ปรับปรุงโครง
สร้างหนี้แล้วเสร็จ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2547 ที่ผ่านมา ทำให้มีกำไรจากการปรับ
โครงสร้างหนี้จำนวน 309 ล้านบาท และทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก โดยผลขาด
ทุนสะสมลดลงเหลือ 279 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2547 และภายหลังจากเพิ่มทุน IPO จะมี
การนำเงินไปชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น และคาดอัตราส่วน
หนี้สินสุทธิต่อทุนในปี 2548 และ 2549 จะลดลงเหลือ 0.6 และ 0.3 ตามลำดับ จาก
4.4 ในปี 2547
มีแผนที่จะนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นจากเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ มา
ล้างขาดทุนสะสม เพื่อที่จะได้สามารถจ่ายเงินปันผลได้เร็วขึ้น ไตรมาส 1/2548
บริษัทฯ มียอดขาดทุนสะสม 173 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีแผนที่จะนำส่วน
เกินมูลค่าหุ้นที่เกิดจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้มาชดเชยผลขาดทุน
สะสม ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้เร็วขึ้น
ยอดขายปี 2545 ? 2547 เพิ่มเฉลี่ย 22.5% ยอดขายไตรมาส 1/2548 เพิ่ม
24.6% y-y ยอดขายของ STAR ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 182
ล้านบาท ในปี 2545 เป็น 233 ล้านบาทในปี 2546 เพิ่มขึ้น 28.6% y-y และเพิ่มขึ้น
เป็นจำนวน 271 ล้านบาทในปี 2547 เพิ่มขึ้น 16.3% y-y คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย
ในช่วงปี 2545 ? 2547 ที่ 22.5% โดยสาเหตุที่ยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเกิดจาก
ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และจากนโยบายบริษัทฯ ที่จะจำหน่ายเครื่องสุขภัณฑ์ที่มีราคา
ต่อหน่วยสูงเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีการปรับราคาขายสินค้าเพิ่มขึ้น สำหรับผลการดำเนินงาน
ในไตรมาส 1/2548 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 823 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.6% y-y
กำไรสุทธิไตรมาส 1/2548 เพิ่มขึ้น 19.91% จากยอดขายและอัตรากำไร
ขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับ 30.5% ในปี
2545 เป็น 49.2% ในไตรมาสที่ 1/2548 โดยมีสาเหตุจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่ม
ขึ้น ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลงและการควบคุมอัตราการสูญเสียได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ประกอบกับบริษัทฯ เน้นขายสินค้าที่มีราคาสูงมากขึ้น ส่งผลให้กำไร
สุทธิเพิ่มขึ้นจากปี 2545 ที่ขาดทุนสุทธิจำนวน 8 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2546 และปี
2547 มีกำไรสุทธิจำนวน 37 ล้านบาท และจำนวน 345 ล้านบาท ตามลำดับ (ปี 2547
มีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 309 ล้านบาท) สำหรับผลการดำเนินงานไตร
มาส 1/2548 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9% y-y
คาดยอดขายในปี 2548 จะเติบโต 25.4% y-y และปี 2549 จะเติบโต
27.7% y-y จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ มีการปรับราคา
ขายสำหรับการส่งออกบางส่วนในช่วงต้นปี 2548 จึงคาดยอดขายปี 2548 ของ
STAR ที่ระดับ 341 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 271 ล้านบาทในปี 2547 หรือเพิ่มขึ้น
25.4% y-y และจากการขยายกำลังการผลิตอีก 3,000 ตัน/ปี หรือ 32.5% ซึ่งคาดว่าจะ
เปิดดำเนินงานต้นปี 2549 ทำให้คาดว่าในปี 2549 รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้น
27.7% เป็น 435 ล้านบาท
คาดอัตรากำไรขั้นต้น ในปี 2548 จะอยู่ที่ระดับ 48.5% คาดว่าบริษัทฯ จะ
สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่สูง เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้กำลังการ
ผลิตเต็มที่จึงทำให้เกิด Economy of scale และราคาวัตถุดิบคือดิน จะมีราคาไม่ค่อย
ผันผวนมากนัก ประกอบกับ บริษัทฯ จะเน้นขายสินค้าส่งออกที่มีราคาสูงมากขึ้น โดย
คาดว่าในปี 2548 อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ระดับ 48.4% (อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส
1/2548 อยู่ที่ 49.2%) และลดลงเป็น 47.5% ในปี 2549 เนื่องจากในปี 2549 จะมีการ
เดินเครื่องจักรใหม่ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องและอัตราการสูญ
เสียในอัตราที่สูง
หลังเพิ่มทุนฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น คาดดอกเบี้ยจ่ายในปี 2548 จะลด
ลง 22.0% y-y ในไตรมาส 1/2548 STAR มีเงินกู้ระยะยาวประมาณ 250 ล้านบาท
และภายหลังจาก IPO จะมีการนำเงินบางส่วนไปชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ฐานะการเงิน
แข็งแกร่งขึ้น โดยคาดว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายในปี 2548 และ ปี 2549 จะมีจำนวน 11.7
ล้านบาท และ 6.2 ล้านบาท หรือลดลง 22.0% และ 46.9% ตามลำดับ คาดอัตราส่วน
หนี้สินต่อทุนจะลดลงจาก 4.4 ในปี 2547 เหลือ 0.6 และ 0.3 ในปี 2548 และ 2549
คาดกำไรปกติจากการดำเนินงานปี 2548 และปี 2549 จะเติบโต 133.2%
y-y และ 16.0% y-y ตามลำดับ คาดว่ากำไรปกติจากการดำเนินงานปี 2548 จะเท่ากับ
63 ล้านบาท หรือ 0.46 บาท/หุ้น หรือเติบโต 133.2% y-y โดยสาเหตุที่เพิ่มขึ้น
มากกว่ายอดขายเป็นเพราะอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 41.3% ในปี 2547
เป็น 48.4% ในปี 2548 สำหรับปี 2549 จะได้รับประโยชน์จากการขยายกำลังการ
ผลิต ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 27.7% อย่างไรก็ตามคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลง
เป็น 47.5% เนื่องจากอยู่ในช่วงเดินเครื่องจักรใหม่ เราจึงคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2549
เป็น 73 ล้านบาท หรือ 0.54 บาท/หุ้น จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.0%
ประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานปี 2548 ที่ 4.70 บาท SYRUS ประเมิน
มูลค่าหุ้นโดยวิธี DCF ซึ่งเห็นว่าวิธี DCF เป็นวิธีที่เหมาะสม เนื่องจากบริษัทฯ อยู่ใน
ช่วงของการขยายกำลังการผลิต โดยในส่วนขยายกำลังการผลิตใหม่จะสามารถเปิด
ดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2549 ประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ใน
ช่วงเริ่มต้น ดังนั้นการประเมินมูลค่าหุ้นโดยวิธี P/E มีโอกาสทำให้มูลค่าตามปัจจัยพื้น
ฐานต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานได้ที่ 4.70 บาท คิดเป็น
P/E ปี 2548 และ 2549 ที่ 10.1 เท่า และ 8.7 เท่า ตามลำดับ ซึ่งการที่ P/E ในปี
2548 มีระดับสูง เป็นเพราะการขยายกำลังการผลิตใหม่จะเปิดดำเนินการได้ในปี
2549 ดังกล่าว ประกอบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่
สูง โดยคาดอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรปกติจากการดำเนินงาน ปี 2548 และ
2549 ที่ 133.2% และ 16.0% ตามลำดับ และอัตราการเติบโตเฉลี่ยในปี 2550 ?
2552 ที่ระดับ 9.8% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

สมมติฐานในการประมาณการ และการประเมินมูลค่าหุ้น
1) คาดอัตราการใช้กำลังการผลิตในปี 2548, ปี 2549 และ ปี 2550 เท่า
กับ 81%, 73%* และ 77%* ตามลำดับ (เทียบกับอัตราการใช้กำลังการผลิต ในไตร
มาส 1/2548 ที่ 81%) *คำนวณรวมอัตราการใช้กำลังการผลิตส่วนขยาย โดยคาดว่า
อัตราการใช้กำลังการผลิตในส่วนขยายปี 2549 และ ปี 2550 อยู่ที่ 50% และ 65%
ตามลำดับ
2) คาดว่ากำลังการผลิตส่วนขยาย 3,000 ตัน จะใช้เงินลงทุนประมาณ
60 ล้านบาท และจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในต้นปี 2549
3) คาดว่าอัตราการเติบโตของยอดขาย ในปี 2548, ปี 2549 และปี
2550 และอัตราการเติบโตเฉลี่ยปี 2551-2555 ที่ระดับ 25.4%, 27.7%, 10.2% และ
5.7% ตามลำดับ (เทียบกับอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น 16.3% y-y ในปี 2547 และ
24.6% y-y ในไตรมาส 1/2548)
4) คาดอัตรากำไรขั้นต้นของยอดขายสินค้าในปี 2548, 2549, 2550 และ
อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยปี 2551-2555 ที่ระดับ 48.4%, 47.5%, 45.7% และ 47.3%
ตามลำดับ (เทียบกับ 41.3% ในปี 2547 และ 49.2% ในไตรมาส 1/2548)
5) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายเท่ากับ 27.0% (เทียบกับ
27.0% ในปี 2547 และ 24.4% ในไตรมาส 1/2548)
6) คาดอัตรากำไรปกติจากการดำเนินงานต่อยอดขายในปี 2548, 2549,
2550 และอัตรากำไรเฉลี่ยปี 2551 - 2555 ที่ระดับ 18.6%, 16.9%, 15.9% และ
17.6% ตามลำดับ (เทียบกับ 10.0% ในปี 2547 และ 19.4% ในไตรมาส 1/2548)
7) อัตราการคิดส่วนลดกระแสเงินสด (Required rate of return) ที่
15.4% (บนสมมติฐานอัตราผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น: Ke ที่ 18.0% และอัตราผลตอบ
แทนสำหรับเจ้าหนี้: Kd ที่ 5.5%)
8) อัตราการเติบโตในอนาคตบนสมมติฐานไม่มีการลงทุนเพิ่มเติม
(Terminal Growth) ที่ 1%

ความเสี่ยงในการประเมินราคา
ในการประเมินราคา สมมุติฐานอัตรากำไรขั้นต้นมีผลต่อราคาหุ้นมาก
และในการคำนวณครั้งนี้ ได้กำหนดให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยตลอดอายุโครงการอยู่ที่
47.2% ซึ่งค่อนข้างสูง (เทียบกับ 41.3% ในปี 2547 และ 49.2% ในไตรมาส 1/2548)
อย่างไรก็ตามเราคาดว่าบริษัทฯ สามารถที่จะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ใน
ระดับนี้ได้ เนื่องจาก
1)ธุรกิจขายเครื่องสุขภัณฑ์ เป็นธุรกิจที่มี Barrier to Entry สูงมาก เนื่อง
จากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้แรงงานที่มีฝีมือมาก ซึ่งปัจจุบันแรงงานที่มีความรู้ มีอยู่ค่อน
ข้างจำกัด และยังขาดแคลนอยู่ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่ผู้ประกอบการรายใหม่จะเข้ามา
ในอุตสาหกรรมนี้
2)บริษัทมีช่องทางที่จะขายสินค้าไปยังต่างประเทศได้ โดยไม่สูญเสีย
Margin เนื่องจากต้นทุนการผลิตสินค้าของบริษัทยังถูกกว่าต้นทุนผลิตของต่าง
ประเทศมาก ประกอบกับบริษัทเป็นผู้ผลิตรายเดียวในไทยที่ไม่มีบริษัทแม่เป็นต่าง
ประเทศ ทำให้มีความคล่องตัวที่จะสามารถส่งสินค้าไปขายได้ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม SYRUS ได้ประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง
สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นต่อมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานดังแสดงในตาราง
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com