April 25, 2024   12:00:37 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > **TOP เป้าหมายใหม่ 82 ค่าการกลั่นฉลุย**
 

P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
วันที่: 02/10/2005 @ 16:03:01
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

TOP ยังเล่นได้อีกนาน ค่าการกลั่นตัวหนุนหลังแนวโน้มราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด ขณะที่การ

ฟื้นตัวของโรงกลั่นสหรัฐไม่แน่นนอน โบรกฯให้ราคาเป้าหมายใหม่ 82 บาท

รายงานจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) ประเมินว่า ตัวเลขค่าการกลั่นของ

โรงกลั่นภูมิภาคเอเชีย น่าจะทรงตัวในระดับสูงต่อไป เนื่องจากภาวะอุปสงค์และอุปทานที่

ตึงตัว การขยายกำลังการกลั่นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ลดลงอย่างมากระหว่างปี 2543-47

และไม่มีการขยายกำลังการกลั่นขนาดใหญ่จนกระทั่งหลังจากปี 2550

โดยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีนและอินเดีย ปัจจุบันโรงกลั่นหลายๆแห่งกำลังยกระดับโรงกลั่น

เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น แต่ไม่ได้เป็นการขยายกำลัง

การกลั่น ดังนั้นภาวะอุปสงค์และอุปทานที่ตึงตัวจะยังมีต่อไปจนถึงปี 2551 และน่าจะช่วย

สนับสนุนให้ค่าการกลั่นทรงตัวอยู่ในระดับสูงในปีถึงสองปีข้างหน้า

ทั้งนี้กำลังการกลั่นที่ตึงตัวได้ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก

80 % ในปี 2543 มาอยู่ระดับสูงกว่า 90% ในปี 47 ดังนั้นค่ากลั่นจึงปรับตัวสูงขึ้นตามไป

ด้วย จากอัตราการใช้กำลังการกลั่น ที่อยู่ระดับสูงอยู่แล้ว หากเกิดการชะงักงันของโรงกลั่น

จะส่งผลให้ค่าการกลั่นพุ่งสูงขึ้นจากระดับในปัจจุบันเหมือนที่เกิดขึ้นกับค่าการกลั่นของ

สหรัฐตอนที่เกิดพายุเฮอริเคนแคทริน่าและริต้า

โดยการฟื้นตัวของโรงกลั่นในสหรัฐยังมีความไม่แน่นอน ณปัจจุบันโรงกลั่น 12 โรงยังปิด

ทำการ และอาจต้องใช้เวลาสักระยะในการจะกลับดำเนินการอีกครั้งกำลังการกลั่นที่ปิดทำ

การคิดเป็นจำนวนมากกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือประมาณ 12% ของกำลังการกลั่น

รวมของสหรัฐ นอกจากนี้ฤดูกาลพายุเฮอริเคนในสหรัฐยังไม่จบลง ดังนั้นหากมีการชะงักงัน

ของกำลังการกลั่นอีกจะยิ่งส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้นอีก

นอกจากนี้โรงกลั่นแบบซับซ้อน เช่นไทยออยล์ ที่มีความสามารถในการกลั่นน้ำมันดิบที่มี

ความหนาแน่นและกำมะถันสูงให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูปจะได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นที่

สูงกว่าโรงกลั่นน้ำมันแบบพื้นฐาน ที่ต้องใช้น้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นและกำมะถันต่ำใน

การกลั่น เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่า เพราะน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นและกำมะถันสูง มี

ราคาถูกกว่าชนิดที่มีความหนาแน่นและกำมะถันต่ำ

จากประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น แนวโน้มค่าการกลั่นแข็งแกร่ง

ช่วงครึ่งปีหลังและปีหน้าและผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทในเครือ จึงปรับประมาณ

การกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามปกติสำหรับปีนี้ เพิ่มขึ้น 6% เป็น 16.5 พันล้านบาท

และอีก 4% สำหรับปีหน้าเป็น 17.4 พันล้านบาทและได้ปรับราคาเป้าหมายหุ้น TOP เพิ่ม

ขึ้น 9% เป็น 82 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้เพื่อสะท้อนธุรกิจโรงกลั่นที่แข็งแกร่งและผลประกอบการดีขึ้นของบริษัทในเครือการ

ประเมินมูลค่า และคำแนะนำจากแนวโน้มค่าการกลั่น ที่ยังคงแข็งแกร่งจากความต้องการ

น่าจะอยู่ในระดับสูงช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง จึงยังคงแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมายใหม่ที่

82 บาทต่อหุ้น โดยวิธี DCF ปัจจุบันหุ้น TOP ซื้อขาย P/E ปี48 ที่ 9.4 เท่าและมี ROAE ที่

26.6% ยังคงมีมุมมองที่ดีต่อ TOP ทั้งจากแนวโน้มที่ดีของค่าการกลั่น การรับรู้ผลประกอบ

การของบริษัทในเครือที่เพิ่มขึ้น และโอกาสที่ไทยออยล์พาวเวอร์ จะขยายกำลังการผลิตจาก

การประมูลโรงไฟฟ้า(IPP)ใหม่ต้นปีหน้า

ที่มา:
ข่าวหุ้น

 กลับขึ้นบน
Spider
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 75
#1 วันที่: 03/10/2005 @ 02:39:06 : re: **TOP เป้าหมายใหม่ 82 ค่าการกลั่นฉลุย**
เมื่อ2-3 เดือนก่อน ตอนที่มันราคาวิ่งอยู่แถว59-62 มีแต่ข่าวออกมาว่ามันจะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน แม้กระทั่งท่านพี่อาฟงที่ผมนับถือก็ยังเอาข่าวตัวนี้มาลง(ขอเรียกพี่ไว้ก่อน เพื่อความนับถือ) แล้วบอกกันไปใหญ่ว่าจะได้เห็นTOPที่54บาท .0001 .0001

ผมพยายามมาบอกว่าอย่าเชื่อในข่าวลวง เพราะบริษัทใหญ่ขนาดนี้ จะไม่รอบคอบทำสัญญาการกู้เงินแบบยืดหยุ่นเลยหรือ (เสียดายที่เวปนี้โดนมือดีลบกระทู้ทิ้งหมดช่วงนั้น)ต่อให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ก็เป็นการขาดทุนทางบัญชี หาใช่เป็นการขาดทุนจริงๆไม่ อีกทั้งยังบอกว่าค่าการกลั่นเป็นอะไรที่ไม่จีรัง มีแต่ข่าวร้ายๆออกมาตลอด ไม่ได้คิดถึงหน้ามรสุมและหน้าหนาวที่จะมาถึงเลยหรือ

เมื่อทนกระแสไม่ได้ ผมเลยแอบเก็บเงียบๆตามประสารายย่อยของผม แถวๆ57-60บาท จนเกือบ1ใน3ของพอร์ต มาถึงตอนนี้ 75บาทละ คงใกล้ได้เวลาปล่อยของมากกว่าที่จะเก็บ เพราะมันเริ่มมีเป้าที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีการปรับเป้าเพิ่ม มากกว่าที่จะลดเป้า แต่แก็ปมันเริ่มน้อยละ ไม่มีประโยชน์ที่จะรออีกไม่ถึง10%ในเวลาอันใกล้ สู้โยกเงินไปเข้าตัวอื่นๆที่มีแก็ปมากกว่านี้ไม่ได้ หรือถ้าน้ำมันเริ่มลดราคาลง มันน่าไปลุ้นกลุ่มที่ถูกผลกระทบจากน้ำมันก่อนหน้านี้มากกว่า เพราะมันรับข่าวไปหมดแล้ว

ถ้าตามข่าว เมื่อเร็วๆนี้ กองทุนของวอเรน บัฟเฟท นักลงทุนรายใหญ่ของโลก ประกาศขายหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีอยู่แทบทั้งหมดออก เพราะอะไรล่ะครับ นักลงทุนที่เก่งที่สุดของโลกคนนึง เค้าจะมองตลาดผิดหรือ(เค้าเก็บหุ้นพลังงานตั้งแต่มันถูกมากๆ ค่าการกลั่นยังติดลบอยู่เลย) เค้าขายออกโดยไม่ให้เหตุผลใดๆเลย แต่โดยส่วนตัว ผมคิดว่าเค้าคงมองอย่างที่ว่า คือแก็ปมันเริ่มน้อย ต่อให้มันขึ้น มันก็ขึ้นได้อีกไม่มาก

น้ำมันขึ้นมาจากบาร์เรลละไม่ถึง30เหรียญ มาถึง70เหรียญ ถ้ามันขึ้นไปเกิน80USD เศรษฐกิจของทั้งโลกจะเริ่มถดถอยทันที และ เมื่อนั้น ทั่วโลกจะเริ่มประหยัดพลังงานเอามากๆ อีกทั้งจะกดดันให้พลังงานทดแทนอื่นๆ เช่นSolar Cell หรือพวกเชื้อเพลิงธรรมชาติจะเกิดมากขึ้นจนล้นตลาด เพียงพอที่จะทำให้เกิดการแตกตัวของฟองสบู่น้ำมันได้เลย เพราะน้ำมันจะล้นตลาดในทันที

ระหว่างการปล่อยให้มันค่อยๆลงโดยการค่อยๆเลี้ยงไว้แถวๆนี้ กับการปล่อยให้มันแตกโพละเลย ผมว่าเค้าคงพยายามอย่างแรก จนกว่าพวกHedge Fundทั้งหลายจะปล่อยของออกจนหมดดีกว่า แล้วค่อยๆโยกเงินไปลงทุนในหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการลงของน้ำมันน่าจะดีกว่า แล้วค่อยมาไล่ราคาน้ำมันใหม่ในรอบหน้า

ที่มาบอก ก็แค่มาเสนอแนวคิดที่แตกต่างของผม แต่ถ้าใครมีความคิดเห็นอื่นใด ก็เสนอมาได้ครับ เผื่อผมจะมองข้ามไป หรืออาจจะยังไม่ได้บอกว่าคิดอะไรไว้เพิ่มเติม เริ่มจะแก่แล้ว ก็เลยหลงๆลืมๆไปบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยยอมรับเท่าไรนักหรอกครับ ใครหาว่าผมแก่นี่มีโกรธด้วยนา ฟฟฟฟ2 ฟฟฟฟ2
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com