P_aud สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 531 | วันที่: 13/10/2005 @ 10:10:58 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต แบงก์นครหลวงไทยได้ฤกษ์รุกธุรกิจลิสซิ่ง-แฟคตอริ่งต้นปีหน้า เสริมแกร่งครบวงจรระบุอยู่
ระหว่างศึกษา 2 รูปแบบ ทั้งตั้งบริษัทเอง เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทอื่น เชื่อได้ข้อสรุปสิ้นปีนี้ ยัน
ไม่ได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทนครหลวงลิสซิ่ง-แฟคตอริ่ง หลังขายหุ้นออกมาหมดแล้วด้านเคจีไอ
เชียร์ซื้อราคาเป้าหมาย 34 บาท รับผลดีเศรษฐกิจฟื้น
นางสาวอังคณา สวัสดิ์พูน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด(
มหาชน)หรือ SCIB กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจ
ลิสซิ่งและแฟคตอริ่ง เพื่อเสริมธุรกิจของแบงก์ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น โดยคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุป
ภายในสิ้นปีนี้และจะสามารถดำเนินธุรกิจลิสซิ่งและแฟคตอริ่งได้ภายในต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ทั้งนี้แนวทางที่อยู่ในระหว่างศึกษามี 2 แนวทาง คือ การทำธุรกิจลิสซิ่ง-แฟคตอริ่งโดยมี
บริษัทลูกเป็นผู้ดำเนินการ หรือให้แบงก์เป็นเป็นผู้ดำเนินการเอง หลังจากที่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทย(ธปท.) เพิ่งอนุญาติให้ธนาคารพาณิชย์สามารถดำเนินธุรกิจลิสซิ่ง-แฟคตอริ่ง
ภายใต้แบงก์ได้ โดยหากเป็นแนวทางแรกแบงก์สามารถดำเนินการได้ 2 ทางคือการจัดตั้ง
บริษัทขึ้นมาใหม่หรือเข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีอยู่แล้วในตลาด
อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบว่าแนวทางใดมีความเป็นไปได้มากสุด เนื่องจากแบงก์ยังเปิดกว้างใน
ทุกแนวทาง และแต่ละแนวทางก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งฝ่ายที่ศึกษาคงต้องเลือก
แนวทางที่เป็นประโยชน์กับแบงก์มากที่สุด ทั้งนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะต้องใช้เงินทุนใน
การดำเนินการเท่าใด
เดิมทีเราคาดว่าจะสามารถเริ่มทำธุรกิจลิสซิ่ง-แฟคตอริ่ง ได้ภายในปีนี้ แต่หลังจากที่แบงก์
ชาติอนุญาติให้แบงก์พาณิชย์สามารถทำธุรกิจนี้ภายใต้สาขาของแบงก์เองได้ ทำให้แบงก์
ต้องกลับมาศึกษาเพิ่มเติมอีกครั้ง เพื่อเลือกแนวทางที่ดีที่สุดนางสาวอังคณา กล่าว
นางสาวอังคณา กล่าวต่อว่า สำหรับกระแสข่าวว่าแบงก์เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทนครหลวงลิ
สซิ่ง-แฟคตอริ่ง จำกัด เพื่อเริ่มดำเนินการธุรกิจดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง โดยบริษัทดัง
กล่าวเคยเป็นบริษัทลูกของแบงก์มาก่อน แต่ในช่วงเกิดวิกฤติแบงก์ได้ขายหุ้นในบริษัทดัง
กล่าวออกไปทั้งหมดแล้ว ทำให้บริษัทดังกล่าวไม่ได้มีสถานะเป็นบริษัทลูกอีกต่อไป และ
แบงก์คงไม่กลับไปซื้อหุ้นในบริษัทดังกล่าวอีกครั้ง
ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน) คาดการณ์ว่าSCIB จะ
มีกำไรไตรมาส 3/48 เท่ากับ 1.3 พันล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อน และ 17%จากไตร
มาสก่อน โดยกำไรดอกเบี้ยสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน
เนื่องจากการขยายสินเชื่อและส่วนต่างดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และในไตรมาสนี้คาดว่าจะมีปันผล
รับจำนวน 315 ล้านบาทจากวายุภักษ์
อย่างไรก็ตามคาดว่าไม่มีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาส่งผลให้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลงจากเดิม
แต่หากดูกำไรจากการดำเนินงานปกติซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาทนั้นเติบโต 16%
จากปีก่อนและ 14% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ SCIB เป็นธนาคารที่จะได้รับประโยชน์
จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเนื่องจากยังมีฐานสินเชื่อที่เล็กเพียง 2.7 แสนล้านบาทหรือ 6%
ของสินเชื่อทั้งระบบ ประกอบกับมีฐานเงินทุนขั้นที่ 1 ที่สูงถึง 11% จึงสามารถที่จะขยาย
สินเชื่อได้อีกมาก
ทั้งนี้การที่เคจีอมีมุมมองต่อเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและได้ผ่านจุดแย่ที่สุดมาแล้ว จึงคาดว่าการเติบ
โตของ SCIB จะกลับมาเหมือนเดิมได้ และราคาปัจจุบันก็ดูแล้วน่าสนใจแม้หลังปรับ
ประมาณการลงเนื่องจากอัตราตอบแทนเงินปันผลยังสูงถึง 5.5% และราคาอยู่ที่เพียง 1.5
เท่าของมูลค่าทางบัญชี จึงยังคงแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมายปี 49 ที่ 34 บาท
ที่มา:
ข่าวหุ้น
|