P_aud สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 531 | วันที่: 14/10/2005 @ 13:50:01 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ราคาน้ำมันยังอยู่เหนือ 64 ดอลลาร์ คาดการณ์ความต้องการน้ำมันในปีหน้า เพิ่มขึ้นร้อยละ
2.2 ด้านดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเกือบสูงสุดในรอบ 17 เดือน
รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก ล่าสุดในการซื้อขายที่ตลาดเอเชีย (13 ต.ค.) ได้ปรับ
ตัวสูงขึ้น หลังจากรัฐบาลสหรัฐคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ
2.2 ทั้งนี้ราคาน้ำมันไลท์สวีท งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ บาร์เรลละ
64.14 ดอลลาร์สหรัฐ
นักวิเคราะห์ของบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานในสิงคโปร์ กล่าวว่า เป็นปฏิกิริยาต่อรายงาน
ของกระทรวงพลังงานสหรัฐที่คาดว่าความต้องการน้ำมันในสหรัฐจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ในปี
หน้า เป็น 21 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังจากที่คาดการณ์ว่าจะลดลงร้อยละ 0.9 ในปีนี้
นักวิเคราะห์คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนสูง ตามข่าวรายวันและปัจจัยทางความ
รู้สึกเกี่ยวกับสภาวะอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปตึงตัวจากผลกระทบของเฮอริเคน โดยล่าสุด โรง
กลั่นหลายแห่ง ยังคงหยุดดำเนินการ และคาดว่าภายในเดือน ธ.ค. 48 จะยังไม่สามารถ
ดำเนินการได้ และรายงานพยากรณ์อากาศในช่วงสิ้นปีจะหนาวกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ผู้ค้า
น้ำมันยังคงมีความกังวลว่าอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปจะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในช่วง
ฤดูหนาว อย่างไรก็ตามรัฐบาลหสรัฐฯ และสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ มีความ
พยายามที่จะนำน้ำมันสำรองออกมาใช้หากเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมัน
ทางด้านตลาดเงิน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเกือบสูงสุดในรอบ 17 เดือนเมื่อเทียบกับ
เงินเยนญี่ปุ่น เนื่องจากบรรดานักลงทุนในตลาดเงินต่างก็คาดการณ์กันว่า ธนาคารกลาง
สหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ระลอก เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบเศรษฐกิจสหรัฐต้องเผชิญ
กับภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยับขึ้นเป็น 114.78 เยนต่อดอลลาร์ โดยในช่วงหนึ่ง
ของการซื้อขาย ปรากฏว่า ค่าเงินดอลลาร์ถีบตัวสูงขึ้นถึงระดับ 114.85 เยน สูงสุดนับ
จากกลางเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว
สำหรับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ทั้งนักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างก็คาดการณ์ใน
ทำนองเดียวกันว่า เป็นไปได้ที่จะมีการปรับเพิ่มอีก 2 ครั้ง ในการประชุมคณะกรรมการ
ตลาดหลักทรัพย์อันเป็นองค์กรกำหนดนโยบายของธนาคารกลาง ซึ่งยังเหลืออีก 2 นัดปีนี้
โดยจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นหรือเฟดฟันด์เรท ของธนาคารกลางสหรัฐ เพิ่มขึ้นมา
อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.25 ก่อนสิ้นปีนี้
ที่มา:
กระแสหุ้น
|