thaihoon สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 14,583 | วันที่: 18/04/2014 @ 08:20:38 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต *ในที่สุดพวกโลกสวยก็ได้เฮลั่นทุ่ง เมื่อดัชนีไต่ระดับขึ้นอย่างช้าๆ จนในที่สุดยืนเหนือแนวรับ 1,400 จุดได้อย่างมั่นคง โมนิก้า จึงขอแสดงความเสียใจกับพวกโลกแคบ เพราะทันทีที่ดัชนีวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1,408.78 จุด บวกไป 6.94 จุด ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขาย 3.71 หมื่นล้านบาท เดี๊ยนไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ยืดเยื้อ เพราะเป็นเรื่องที่เคยพูดไปหมดแล้วก่อนหน้านี้ไงล่ะคะ
*ประเด็นนี้ทำให้การซอยเท้าย่ำฐาน 1,400 จุดกลายเป็นหนังม้วนเก่าที่คนดูเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย จึงพยายามทำอะไรนอกกรอบที่ ตั้งไว้ และผลดังกล่าวทำให้หุ้นมากหน้าหลายตาโผล่ขึ้นมาติดในกระดาน most gainer กันหน้าสลอน แถมหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นแรงก็ไม่มีพื้นฐานรองรับเสียด้วย โมนิก้า ถึงรู้สึกสังหรณ์ใจว่า ประเด็น แบ็กดอร์ จะเป็นแค่ไฟไหม้ฟางน่ะสิ
*เนื่องจากในตลาดหุ้นตอนนี้เต็มไปด้วยข่าวดังกล่าว และเรื่องนี้ส่งผลโดยตรงกับหุ้นอสังหาฯขนาดเล็กหลายรายด้วยกัน เพราะนักผจญภัยเชื่อในทฤษฎีที่ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ยังเป็นเรื่องจริงที่มีให้เห็นทุกเมื่อเชื่อวัน โมนิก้า จึงขอทำตัวตามน้ำเพื่ออินกับกระแสดังกล่าว เพราะหุ้นขนาดใหญ่ยังไม่สามารถทะลุกรอบแนวต้านสำคัญได้อย่างบูรณาการพะยะค่ะ
*เหตุนี้กระมั้งที่ทำให้หุ้นอสังหาฯ สายเลือดลอดช่อง KTP (บมจ.เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้) พุ่งกระฉูดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะกิมมิคที่ถูกนำมาใช้ในครั้งนี้เป็นเรื่อง เข้าประตูหลัง กับ โดนเทกโอเวอร์ หลังส่วนทุนของบริษัทเหลือแค่ 280 ล้านบาท ขณะที่แต่ละปีขาดทุนสูงถึง 140 ล้านบาท จึงเหมือนเป็นการเปิดช่องให้คนรุมจีบ ผนวกกับมีข่าวลือในลักษณะที่ว่า กลุ่มทุนเดิมไม่อยากควักเงินเพิ่ม (เห็นลือแบบนี้มา 4-5 ปี แต่สุดท้ายก็ควักเงินใส่เพิ่มประจำ) ผู้คนเลยมโนกันไปยกใหญ่ หุ้นเลยวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1.69 บาท บวกไป 0.17 บาท หรือขึ้นไป 11% แบบงงๆ เจ้าค่ะ
*ถ้าพูดถึงเรื่องมึนๆ งงๆ โมนิก้า คงต้องเท้าความกลับไปที่ผู้จุดประกาย RASA เป็นลำดับแรก เพราะทำให้หลายคนเชื่อว่า จุดจบของหุ้นอสังหาฯ ขนาดเล็กกำลังงวดเข้ามาทุกที ผนวกกับเมื่อกลุ่มทุนใหม่ยัดสินทรัพย์เข้ามารวมไว้ในบริษัท มูลค่ากิจการจะเติบโตดับเบิ้ล วานนี้ถึงเห็นราคาหุ้นทำท่าขึงขังตั้งแต่เปิดตลาดภาคเช้า สตอรี่ทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ
*หากยังไม่เข้าใจโมเดลดังกล่าว โมนิก้า ขอให้ดูกรณีศึกษาแบบเจ็บๆ แสบๆ คันๆ อย่าง UV และ GOLD ก่อนและหลังที่ เสี่ยเจริญ เข้าเทกโอเวอร์อย่างเป็นทางการ ตัวบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากน้อยขนาดไหน? เพราะดีลนี้ยังเชื่อมโยงไปยังดีลซื้อหุ้นเป๊ปซี่ SSC อีกกระทอกหนึ่งด้วย หลังเสี่ยต้องการโกดังเก็บสินค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยามาทำเป็นคอนโดฯหรู หลายคนถึงเชื่อว่า นี่เป็นเพียงก้าวแรกของกลุ่มสิงห์ ซึ่งยังจะมีก้าวต่ออย่างแน่นอนพะยะค่ะ
*ประเด็นที่เซียนหุ้นอาจต้องคิดหนักสักหน่อยคงเป็นเรื่อง การจับเสือมือเปล่า เพราะดีลนี้เป็นการสว็อปหุ้น ซึ่ง ยังต้องผ่านกระบวนการดิวดิลิเจนซ์อีกรอบหนึ่ง และกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็กินเวลาเป็นเดือน ส่งผลให้การดันราคาหุ้นขึ้นสูงกว่าราคาเพิ่มทุน 1.87 บาท เป็นเรื่องที่น่ากังวล ยิ่งวานนี้หุ้นพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 3.44 บาท สุดท้ายอ่อนตัวลงมาปิดที่ 3.06 บาท บวกไป 0.14 บาท หรือขึ้นไป 4.80% มีความหมายแค่ไหน....ลองคิดกันเอาเองนะคะ
*กระแสดังกล่าวยังส่งผลให้ PF ทะยานขึ้นมาปิดที่ 0.99 บาท บวกไป 0.06 บาท หรือขึ้นไป 6.50% ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขาย 240 ล้านบาท ด้วยความเชื่อที่ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่เหมือนกับรายข้างต้นที่เอ่ยถึง และประเด็นที่จุดชนวนความเชื่อก็มาจากเป็นหุ้นเบี้ยหัวแตก ไม่มีใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เบ็ดเสร็จแต่เพียงกลุ่มเดียว รวมทั้งราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าบุ๊ค 1.49 บาทค่อนข้างเยอะ ขาลุยเลยเฮโลตามกันไปเพียบ....งานนี้จริงเท็จอย่างไรไม่รู้ แต่ที่รู้คือ เขาเม้าท์กันว่า มีสิทธิ์โดนประตูหลังอีกราย..อิอิอิ
|