April 20, 2024   3:47:57 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > SETจ่อแตะ1,600จุด-แนะขายลดพอร์ต
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 15/09/2014 @ 08:25:18
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

โบรกฯ แนะช่วงที่เหลือของเดือน ก.ย. ควรขายหุ้น และถือเงินสด เพราะ SET ใกล้อิ่มตัวแล้ว หลังเข้าใกล้ 1600 จุด ให้รอตลาดปรับฐาน และทยอยเข้าสะสมช่วง 1540-1560 จุด พร้อมเตือนระวัง ก.ล.ต. คลอดมาตรการสกัดหุ้นร้อนในตลาด mai หลัง พี/อีสูงถึง 80 เท่า ด้านกูรูมองหุ้นไทยสัปดาห์นี้คาดดัชนีฯแกว่งขึ้นทดสอบ 1,590-1,600 จุด จากแรงเก็งกำไรผลประชุมเฟดและ กนง.กลางสัปดาห์

*** ทิสโก้ แนะขายลดพอร์ต SETใกล้อิ่มตัว
บล.ทิสโก้ ระบุว่า ยังคงมุมมอง “ระมัดระวัง” การลงทุนในตลาดหุ้นไทยสำหรับช่วงเดือน ก.ย. – ต.ค. นี้ต่อไป หลักๆ เนื่องจากการประเมินมูลค่าหุ้นที่ตึงตัวมาก จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย (สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นตลอดนับตั้งแต่ต้นปี ปัจจุบันในเดือน ก.ย. (MTD) อยู่ที่ 66% เทียบเท่ากับ Peak ของ SET Index ครั้งเมื่อช่วงเดือน มี.ค. – พ.ค. 56) และความไม่แน่นอนของทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในปีหน้า ?? โดยการประชุม FED 2 ครั้งที่จะถึงนี้ คือ ในวันที่ 16-17 ก.ย. และในวันที่ 28-29 ต.ค. ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นช่วงเวลาที่คาดว่า FED จะยุติมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งมีผลต่อสภาพคล่องในระบบการเงินทั่วโลก
ด้านการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ แม้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ในทางปัจจัยเทคนิคยังไม่เกิดสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มของขาลง โดยขณะนี้กำลังทดสอบรอบการซื้อสุทธิสะสมสูงสุดครั้งก่อน (มี.ค. – เม.ย. 57) ที่ราว 3.3 หมื่นล้านบาท เทียบกับรอบซื้อสุทธิสะสมในปัจจุบันนี้ที่อยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท
กลยุทธ์การลงทุนหลักในช่วงที่เหลือของเดือน ก.ย. นี้ แนะนำ “ ขึ้นขายลดพอร์ต ถือเงินสดเพิ่ม” เพื่อลดความเสี่ยง หลังมอง SET Index แถว 1600 +/- เริ่มอิ่มตัวในระยะสั้น รอทยอยสะสมช่วงราคาหุ้นอ่อนตัว โดยเฉพาะหาก SET Index ย่อลงอยู่ในช่วง 1540-60 เรายังเลือกสะสมหุ้นเป็นรายตัว (Selective Buy) ในหุ้นพื้นฐานดีที่ Valuations ยังไม่แพง และราคายังไม่ปรับขึ้นมาก (Laggards) หุ้นแนะนำระยะสั้น คือ BJCHI, INTUCH, NYT, SITHAI, TTCL

*** ให้กรอบสัปดาห์นี้ 1,565-1,585 จุด
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า มองภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ คาดว่าช่วงต้นสัปดาห์จะมีการแกว่งตัวบ้างเล็กน้อย โดยให้ติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ในวันที่ 16-17 ก.ย. และหลังจากนั้นคาดว่าจะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีค่อนข้างมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงโดยหลายปัจจัยยังบ่งชี้ว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันค่อนข้างร้อนแรงเกินไป และเรื่องของราคาหุ้นก็ถือว่าค่อนข้างแพง
กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์หน้า แนะนำถือหุ้น และรอขายทำกำไรในช่วงที่ดัชนีฯ เป็นบวก โดยประเมินแนวรับที่ 1,565 จุดและแนวต้านที่ 1,585-1,590 จุด
นอกจากนี้ ฝากเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังในการลงทุนในตลาดหุ้น MAI เนื่องจากอาจมีมาตราการออกมาสกัดหุ้นร้อน จาก ก.ล.ต. ก็เป็นได้
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะให้น้ำหนักกับเรื่องของการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ในวันที่ 16-17 ก.ย. โดยมีหลายกระแสต่อนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหากมีคอมเม้นท์ในเชิงลบออกมา ตลาดหุ้นไทยอาจแกว่งตัวลดลงก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ อาจจะไม่ปรับลดลงมากนักเพราะยังมีปัจจัยในประเทศที่ยังเป็นตัวสนับสนุนอยู่ เช่นในเรื่องความคืบหน้าของโครงการภาครัฐ และมารตราการต่างๆที่รัฐบาลประกาศออกมาที่เป็นตัวสนับสนุน
" ดัชนีฯในสัปดาห์ ตัวหลักคือการประชุมเฟด ซึ่งทุกคนจะให้น้ำหนักกับเรื่องคอมเม้นที่จะออกมาว่าเฟดจะส่งสัญญานอะไรบ้าง ซึ่งหากออกมาว่าปรับเพิ่ม อาจจะส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยก็เป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ ปัจจัยในประเทศก็อาจเป็นตัวซัพพอร์ตให้ตลาดหุ้นไม่แกว่งตัวลดลงมากนัก เพราะเรื่องความคืบหน้าของโครงการภาครัฐ และมารตราการต่างๆที่รัฐบาลประกาศออกมาที่เป็นตัวซัพพอร์ตอยู่ "นางสาวธีรดา กล่าว
ด้านกลยุทธ์ในการลงทุน สำหรับนักลงทุนระยะสั้น เน้นขึ้นขายลงซื้ออยู่ในกรอบ โดยประเมินแนวรับที่ 1,560 จุดและแนวต้านที่ 1,600 จุด ซึ่งหุ้นที่น่าจับมองคือกลุ่มของรับเหมาก่อสร้างที่ได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐ และหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์

*** ทิสโก้ เตือนระวังมาตรการสกัดหุ้นร้อนจาก ก.ล.ต. โดยเฉพาะหุ้นในตลาด mai
บล.ทิสโก้ ระบุว่า เป็นห่วงกับภาวะร้อนแรงของราคาหุ้นในตลาด mai อย่างมาก เพราะปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV สูงถึง 80.2 เท่า และ 4.8 เท่า ตามลำดับ ซึ่งเราเชื่อว่าหุ้นหลายตัวมีราคาเกินปัจจัยพื้นฐานไปมาก หลังวิ่งขึ้นมากกว่า 50% ในระยะเวลาไม่ถึง 6 สัปดาห์ (บางตัวปรับตัวขึ้นถึง 600% ก็มี) การเก็งกำไรกันสูงมากดังกล่าว อาจส่งผลให้ ก.ล.ต.มีมาตรการสกัดหุ้นร้อน
โดยเรามองการปรับเปลี่ยนเกณฑ์หุ้นติด Turnover List ของตลาด mai มีความเป็นไปได้มากสุด โดยจำนวนหุ้นที่ติด Turnover List น่าจะเพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 5 อันดับแรก (เรียงตาม %1W-turnover สูงสุด) เป็นไม่เกิน 10 อันดับแรก เนื่องจากปัจจุบันจำนวนหุ้นจดทะเบียนในตลาด mai สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ปัจจุบันมีอยู่ 104 ตัว และหากมีการปรับเป็นไม่เกิน 10 อันดับแรก น่าจะมีความเหมาะสมสอดคล้องกับตลาด SET ที่ปัจจุบันกำหนดให้มีหุ้นติด Turnover List ไม่เกิน 50 ตัว หรือคิดเป็นราว 10% จากจำนวนหุ้นจดทะเบียนในตลาด
SET ปัจจุบันที่ 494 ตัว (ไม่รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน)

*** เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาด เฟดประวิงเวลาในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (MBKET) เชื่อว่า ความเห็นของประธานเฟด จะให้เงื่อนไขของการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจ การจ้างงาน การขึ้นค่าแรง เป็นตัวแปรสำคัญ ต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินหลังสิ้นสุดโครงการ QE ในการประชุมครั้งถัดไป หากประเมินจากตัวเลขการจ้างงานเดือน ส.ค. ที่ออกมาต่ำกว่าคาดทุกรายการ และการลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB จะทำให้ เฟด ต้องประวิงเวลาในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน
ทั้งนี้ MBKET คาดว่านักลงทุนในตลาดโลก อาจพลิกกลับมาเก็งกำไรต่อสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงต้นสัปดาห์หน้า ก่อนการประชุมเฟดจะมีการสรุปในวันที่ 17 ก.ย. และหากประธานเฟด ให้ความเห็นในลักษณะที่ MBKET ประเมินไว้ข้างต้น ย่อมเป็นบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย มีโอกาสแกว่งขึ้นทดสอบ 1,590-1,600 จุด พร้อมให้น้ำหนักที่ SET INDEX จะปิดยืนเหนือแนวดังกล่าวได้ในที่
สุด ขณะที่มีปัจจัยบวกที่เอื้อต่อภาวะการลงทุนได้แก่
เม็ดเงินใหม่จาก บริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุนรวม (บลจ.) หลายแห่ง เตรียมออกขาย IPO กองทุน Trigger Funds หลังกองทุนที่ได้บริหารนั้นแตะระดับเป้าหมาย และขายหุ้นในกองทุนปิดกองทุน เพื่อส่งมอบแก่ผู้ถือหน่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
MBKET ประเมินวงเงินจากการขายกองทุน Trigger Funds รอบนี้ราว 1.0-2.0 พันล้านบาท ล่าสุด บลจ.ไทยพาณิชย์ ประกาศขาย IPO กองทุนทริกเกอร์ วันที่ 16-22 ก.ย. วงเงิน 1.5 พันล้านบาท MBKET คาดว่าจะมีบลจ.อีก 2-3 แห่ง ทยอยออกขาย IPO กองทุนทริกเกอร์ในสัปดาห์หน้า
พัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแถลงนโยบายการบริหารประเทศ ของนายกฯ พล.เอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อ สภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันนี้ เพื่อประเมินถึงนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ
ดังนั้น MBKET แนะนำให้ นักลงทุน คงเข้าเก็งกำไรต่อหุ้นในกลุ่มหลักที่ได้ประโยชน์จากพัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศ เป็นสำคัญ พร้อมควรกำหนดแนว Stop Loss เพื่อปิดความเสี่ยงของการลงทุน หลัง SET INDEX เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายและแนวต้านใหญ่ 1,600 จุด ขณะที่กลุ่มธนาคาร / ICT / PTT Family / กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง น่าจะเป็นกลุ่มหลักเป้าหมายที่เงินทุนต่างชาติ และกองทุน Trigger funds ในรอบใหม่นี้

***ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้-เด่นทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้ ติดตามการประชุม ครม. นัดที่ 2 วันที่ 16 ก.ย. ตลาดคาดการณ์ นายกฯ จะพิจารณาแนวทางการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยกเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางพื้นที่ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 17 ก.ย. MBKET และตลาดคาดว่า กนง. จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย RP 1 วันที่ 2.00% เช่นเดิม
การประชุม สนช. เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณปี 2558 วาระที่ 2 วันที่ 16 ก.ย. และ วาระ 3 วันที่ 18 ก.ย.
การประชุม เฟด วันที่ 16-17 ก.ย. Bloomberg consensus คาดการณ์ เฟดจะพิจารณาลดวงเงิน QE ลงอีก US$1.0 หมื่นล้าน/เดือน เป็น US$1.5 หมื่นล้าน/เดือน ตามแผนเดิมที่วางไว้ และจะสิ้นสุดโครงการในการประชุมปลายเดือน ต.ค. แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่มุมมองต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ณ ปัจจุบัน จะพิจารณาขึ้นเมื่อใด ในมุมมองของเฟด
ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ยอดค้าปลีก – ผลผลิตภาคอุตฯ ของจีน, ผลผลิตภาคอุตฯ – ดุลการค้า ของญี่ปุ่น, ยอดขายรถยนต์ ของไทย, ผลผลิตภาคอุตฯ – อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ, ดุลการค้า – อัตราเงินเฟ้อ ของอียู และ อัตราเงินเฟ้อ – การจ้างงานของอังกฤษ

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com