April 18, 2024   8:40:45 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นพลังงานอ่วม-งบQ3แย่ขาดทุนสต็อก
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 19/09/2014 @ 08:28:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นพลังงาน-ปิโตรเคมี อ่วม Q3/57 ส่อแววเจอปัญหาใหญ่ หลังราคาน้ำมันตลาดโลกร่วงหนัก ทำให้ขาดทุนสต็อกน้ำมันกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP -IRPC และ BCP และธุรกิจ ปิโตรเลียมต้นน้ำอย่าง PTTEP พบน้ำมันดิบที่ลดทุก 1 เหรียญจะกระทบกับรายได้ไตรมาสที่ 3/57 ถึง 0.5% ขณะที่กลุ่มปิโตรฯ บางตัวอาจจะรับผลแค่เล็กน้อย เพราะพื้นฐานแกร่ง ส่วน PTT แม้ระยะสั้นยังไม่ดี แต่รับอานิสงส์ค่าใช้จ่ายกองทุนน้ำมันลดลง แบ่งเบาภาระในระยะยาว พร้อมจับตากลุ่ม OPEC เดินหน้าแก้ปัญหาอุปทานล้นตลาด

ราคาน้ำมันในตลาดโลกกลับเข้าสู่เทรนด์ขาลงอีกครั้งจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น เรื่องปริมาณอุปทานที่ล้นตลาด และค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าจากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัว และแนวโน้มการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางฝั่งยูโรโซน ซึ่งราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงหนักอยู่ในขณะนี้ ส่งผลให้บรรดานักวิเคราะห์เริ่มออกมาประเมินหุ้นในกลุ่มพลังงานของไทยว่า อาจจะต้องประสบปัญหาการขาดทุนสต็อกน้ำมันในช่วงไตรมาส 3/2557
โดยวันที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสของสหรัฐฯ วันที่ 17 ก.ย. 57 อยู่ที่ระดับ 94.42 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 ก.ย. 57 ปรับเพิ่มขึ้นมากถึง 3.7 ล้านบาร์เรล รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้นจากการคงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนมีการโยกย้ายเงินออกจากตลาดน้ำมันไปลงทุนในตลาดเงินดอลลาร์มากขึ้น
เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2/57 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 109 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากนั้นปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศในลิเบีย และรัสเซีย และยูเครน รวมถึงปริมาณการผลิตที่สูงของประเทศนอกกลุ่ม OPEC ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งขึ้น เศรษฐกิจยุโรป และจีนที่อ่อนแอลง ก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลง 11% เหลือแค่ 96.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2555

***KGI คาดกลุ่มโรงกลั่นขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน
บล.เคจีไอ เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างแรงได้สร้างแรงกดดันต่อธุรกิจปิโตรเลียมต้นน้ำอย่าง PTTEP และโรงกลั่นอย่าง TOP - IRPC และ BCP ซึ่งจะต้องมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน สำหรับในกรณีของ PTTEP ผลขาดทุนจะจำกัดอยู่แค่ส่วนที่เป็นของเหลวซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 50% ของรายได้
โดยคาดการณ์เบื้องต้น (หากราคาน้ำมันดิบดูไบในไตรมาส 3/57 ที่ระดับ 96.5 ดอลลาร์/บาร์เรล ) พบว่า BCP มีน้ำมันในสต็อกอยู่ 6.4 ล้านบาร์เรล จะขาดทุนสต็อกน้ำมันประมาณ 2,560 พันลบ. , IRPCมีน้ำมันในสต็อกอยู่ 7 ล้านบาร์เรล ขาดทุน 2,800 ลบ. ส่วน TOP มีน้ำมันในสต็อกอยู่ 6.1 ล้านบาร์เรล ขาดทุน 2,438 ลบ.
ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในไตรมาสนี้ลดลงแค่ 2ดอลลาร์/บาร์เรล เท่านั้น ต่ำกว่าการลดลงของราคาในช่วงสิ้นไตรมาสซึ่งใช้ในการคำนวณผลกำไรขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน ซึ่งจากการทดสอบ Sensitivity test พบว่าราคาน้ำมันดิบที่เปลี่ยนแปลงไป 1 ดอลลาร์/บาร์เรล จะกระทบกับรายได้ไตรมาสที่ 3/57 เท่ากับ 0.5%

*** ฉุดกำไร Q3/57 กลุ่มพลังงานอ่อนแอ
ทางด้านบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากขึ้นไปสูงสุดของรอบนี้ในกลางเดือนมิ.ย.57 ที่ 115 ดอลลาร์/บาร์เรล ล่าสุดราคาน้ำมันเบรนท์อยู่ที่ 98-99 ดอลลาร์/บาร์เรล หรืออ่อนตัวลงมาแล้ว 14% และลดลง12% ซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3 นี้จะทำให้กลุ่มพลังงานอาจจะมีผลขาดทุนจากสต็อกของโรงกลั่น และกดดันให้กำไรสุทธิ 3Q57 ออกมาอ่อนแอลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/57 ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี เห็นการอ่อนลงของ Spread ในหลายผลิตภัณฑ์ ซึ่งเกิดจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง การเพิ่มขึ้นของอุปทานในขณะที่อุปสงค์เติบโตไม่แข็งแกร่งมากนัก นอกจากนั้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมียังมีความไม่แน่นอนเรื่องผลกระทบจากการปฎิรูป โครงสร้างพลังงาน

*** กระทบกลุ่ม ปิโตรฯเล็กน้อย เพราะพื้นฐานยังดี
บล.เคจีไอ เปิดเผยต่อว่า แม้ว่าราคาน้ำมันที่ลดลงจะกดดันกลุ่มโรงกลั่น แต่ในกลุ่มปิโตรเคมีอาจจะส่งกระทบเพียงเล็กน้อย เพราะมีประเด็นที่น่าสนใจในสาย aromatics ก็คือส่วนต่างราคา paraxylene ที่ยังคงขยับอยู่แถวๆ ระดับที่เป็นจุดคุ้มทุน หลังจากที่ขยับผ่านช่วงที่ต่ำที่สุดในไตรมาสที่ 2/57 ที่ 333ดอลลาร์/ตัน มาแล้ว ที่ปรึกษาของ ThaiOil บอกว่ากำลังการผลิตติดตั้งใหม่จะลดลง 33% ในปี 2558 ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันให้กับธุรกิจปิโตรเคมีได้บ้าง โดยการลงทุนในโรงผลิต PX แห่งใหม่จะชะลอลงตั้งแต่ปี 2558-2560 และจะกลับมาสูงใหม่ในปี2561 ทั้งนี้ บริษัทที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของ PX ได้แก่ PTTGC Thai Oil และ IRPC
ส่วนสินค้า Olefin มีประเด็นเรื่องต่างราคา Olefin ขยับอยู่ในระดับที่สูงมาตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยยืนได้ที่ระดับเฉลี่ยเหนือ 600 และนับจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นมาส่วนต่างก็ขยับกว้างขึ้นเป็นมากกว่า 700 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลงสร้างแรงกดดันให้กับราคา naphtha feedstock ทั้งนี้ราคา Naphtha ปรับลดลงถึง 9% จากไตรมาสที่ 2/57 อยู่ที่ 861ดอลลาร์/ตันในปัจจุบัน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญมีความกังวลว่าตลาด naphthaในเอเชียจะยังคงถูกกดดันต่อไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนเนื่องจากอุปทานที่หลั่งไหลมาจากโลกตะวันตกปริมาณสต๊อกที่สูง และอุปสงค์ที่ชะลอตัวท่ามกลางอัตราการผลิตที่ต่ำลงของ crackers ในภูมิภาค แต่ถึงแม้ราคาผลิตภัณฑ์ต้นน้ำจะลดลง แต่ราคาผลิตภัณฑ์อนุพันธุ์ปลายน้ำยังคงแข็งแกร่ง และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ ซึ่งส่งผลดีต่อ PTTGC (PTTGC.BK, PTTGC TB)* ซึ่งกำไรจากธุรกิจ Olefin คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของกำไรสุทธิของบริษัท
ทั้งนี้ทาง KGI ชอบบริษัทปิโตรเลียมต้นน้ำอย่าง PTTEP มากกว่าบริษัทปลายน้ำในเครือเดียวกัน เรามองว่า PTTGC อาจยังต้องรอให้ธุรกิจ aromatic ฟื้นตัวก่อน แม้ว่าธุรกิจ olefin จะช่วยหนุนหลังให้อย่างดีแล้ว ยังคงคำแนะนำให้ถือ PTTGC โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 76.00 บาท อิงจาก 7x ของ EV/EBITDA ปี 2557 และแนะนำให้ซื้อ PTTEP โดยคงราคาเป้าหมายเอาไว้ที่ 177.00 บาท อิงจาก PE ปี 2557 ที่ 11x

*** TOP ไตรมาส 3 อ่วมทั้งขาดทุนสต็อกน้ำมัน - ค่าการกลั่นอ่อนตัว
บล.กรุงศรี เปิดเผยว่า มีโอกาสปรับลดประมาณการผลประกอบการปี 57 ลงจากปัจจุบันที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ9.19 พันล้านบาท (-12%YoY) เนื่องจากค่าการกลั่นที่อ่อนแอมากกว่าคาด และราคาน้ำมันดิบดูไบที่ผันผวนทำให้เกิดผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน โดยในเบื้องต้นคาดว่าผลประกอบการ Q3/57 มีแนวโน้มชะลอตัวทั้ง QoQ และ YoY ด้วยแรงกดดันหลักจาก 1) ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบหดตัวต่อเนื่องหลังจากความขัดแย้งระหว่างอิรัก-ลิเบีย และยูเครน-รัสเซียในช่วงปลาย Q2/57 ไม่รุนแรง 2) ค่าการกลั่นพื้นฐานอ่อนตัวตามส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน-ดูไบที่ลดลงหลังจากความต้องการน้ำมันเบนซินลดลงหลังผ่านฤดูกาลขับขี่และเทศกาลรอมฎอนใน Q2/57 รวมถึงโรงกลั่นที่ปิดซ่อมบำรุงในอินเดียและไต้หวันกลับมาดำเนินงานตามปกติ และ 3) ระดับการผลิตลดลง ทั้งในส่วนของโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมี ผลจากการปิดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นที่ 3 ต่อเนื่องจาก Q2/57 เป็นเวลาอีก 31 วัน อย่างไรก็ดี คาดว่าส่วนต่างราคาพาราไซลีน-ULG95 มีแนวโน้มฟื้นตัว QoQ (แต่ลดลง YoY) ด้วยแรงหนุนจากการลดระดับผลิตของผู้ประกอบการในช่วงต้น Q357 และการลดลงของราคาน้ำมัน ULG95
ทั้งนี้คาดการณ์ผลประกอบการปี 58 มีโอกาสกลับมาเติบโต YoY ด้วยแรงหนุนจากระดับการผลิตที่กลับสู่ปกติหลังปิดซ่อมบำรุง ขณะที่ราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวด้อยกว่าตลาด SET ในช่วงที่ผ่านมาเป็นการสะท้อนความคาดหวังเชิงลบต่อแนวโน้มผลประกอบการ Q3/57 บางส่วนแล้ว ราคาหุ้นปัจจุบันมีความเสี่ยงขาลงจำกัด ซื้อขายที่ระดับ 1.1xP/BV’57 ต่ำสุดในรอบ 5 ปี และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 1.6xคงคำแนะนำ ถือ มูลค่าพื้นฐาน 60 บาท (DCF, WACC 10.1%, Terminal growth rate 2%)

*** PTT โชคดีรายจ่ายกองทุนน้ำมันลดลง
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ PTT แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการแบกภาระเพิ่มในอนาคต ประเมินการปรับราคา LPG ในช่วงต้นจะยังไม่ส่งผลบวกต่อ PTT แต่จะช่วยให้รายจ่ายของกองทุนน้ำมันลดลง คาดว่าเมื่อกองทุนน้ำมันกลับมามีฐานะเป็นบวกจากปัจจุบันที่ -5,355 ล้านบาท คสช. อาจเริ่มพิจารณาปรับเพิ่มราคา LPG หน้าโรงแยกสะท้อนต้นทุนของ PTT ที่ ~550 เหรียญต่อตัน จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ที่ 333 เหรียญ เราประเมินผลบวกต่อราคาเป้าหมายของ PTT จากการปรับราคา LPG ในกรณีดีที่สุดไว้ที่ 41.33 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ปรับราคาเป้าหมายเป็น 386 บาท (จาก 357 บาท) สะท้อนโอกาส 50%ในการปรับราคา NGV เท่ากับต้นทุนของ PTT ที่ราคาเป้าหมายใหม่ ธุรกิจหลักของ PTT จะกลับไปซื้อขายด้วย PBV เฉลี่ยที่ 1.0 เรายังคงแนะนำ ซื้อ

*** จับตากลุ่ม OPEC จัดการอุปทานล้นตลาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ตลาดพลังงานกำลังจับตามองกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) ว่าจะมีมาตรการอย่างไรในการจัดการกับอุปทานน้ำมันดิบที่มีอยู่จำนวนมากในตลาด หลังซาอุฯ ส่งสัญญาณลดกำลังการผลิต ขณะที่การผลิตของลิเบียยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้แหล่งน้ำมันดิบ Buzzard บริเวณทะเลเหนือ ซึ่งมีกำลังการผลิต 200,000 บาร์เรลต่อวัน ได้กลับมาดำเนินการผลิตอีกครั้ง หลังจากปิดซ่อมบำรุงเมื่อปลายเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา
ส่วนประเด็นเที่จะเกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน คือผลของการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของอีซีบียังไม่แข็งแกร่งพอที่จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจของ ยูโรโซนได้?ซึ่งอาจจะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่ามากขึ้น และเป็นปัจัจยลบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกอีกทางหนึ่ง ?

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com