April 20, 2024   9:36:46 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นโบรกฯ ติดปีก!กำไรดีถึงปีหน้า
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 26/09/2014 @ 08:00:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

วงการคาดผลงานครึ่งหลังปี 57 กลุ่มหลักทรัพย์โดดเด่น และดีต่อเนื่องถึงปี 58 ตามวอลุ่มซื้อขาย ล่าสุดนักวิเคราะห์เพิ่มคาดการณ์วอลุ่มปีนี้เพิ่มเป็น 4.3 หมื่นลบ./วัน ส่วนปีหน้าอยู่ที่ 4.8 หมื่นลบ./วัน ส่งผลบวกต่อรายได้ค่านายหน้า รวมทั้งวานิชธนกิจ-ดอกเบี้ยจากบัญชีมาร์จิ้น-กำไรจากพอร์ตลงทุน นักวิเคราะห์เพิ่มน้ำหนักลงทุนกลุ่ม "เท่ากับตลาด" ชู KGI เด่นสุด เหตุกระจายรายได้ดี-ปันผลสูง ส่วน MBKET เด่นด้านผู้นำมาร์เก็ตแชร์ ประเมินกำไรทั้งกลุ่มปี 58 โต 19.6% แต่ MBKET โตมากสุด 23% ตามด้วย ASP

*** เพิ่มน้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" เลือก KGI เป็นหุ้นเด่น
บล.กรุงศรี ระบุว่า ปัจจัยการเมืองที่กดดันตลาดหลักทรัพย์มาตั้งแต่ปลายปี 56 คลี่คลายลง และเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวลักษณะ V shape ใน 2H57 ทำให้มูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เป็นปัจจัยหลักผลักดันผลการดำเนินงานกลุ่มหลักทรัพย์ฟื้นตัว และเติบโตเต็มปีในปี 58 เราปรับน้ำหนักการลงทุนกลุ่มหลักทรัพย์จาก "น้อยกว่าตลาด" เป็น "เท่ากับตลาด" เลือก KGI เป็น Top pick มูลค่าพื้นฐานปี 58 ที่ 3.80 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ 12 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (AEC ASP CGS CNS FSS GBX KGI MBKET TNITY UOBKH ZMICO) และ MAI (AIRA) รายงานกำไรสุทธิรวมใน 2Q57 ที่ 945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 148%QoQ จากกำไรเพียง 381 ล้านบาท ใน 1Q57 ผลบวกจากปัญหาการเมืองคลี่คลาย และการคาดหวังต่อเศรษฐกิจฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี การเพิ่มขึ้นของผลการดำเนินงานเกิดจาก (1) รายได้ค่านายหน้าธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 40% ล้อกับมูลค่าซื้อขายฯ ที่เพิ่มขึ้น 32% เป็น 40.6 พันล้านบาท (2) รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจวานิชธนกิจ (IB) ที่มีดีล IPO มากขึ้นทำให้มูลค่าในการระดมทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเกือบ 3 เท่าตัว และ (3) กำไรพอร์ตลงทุนเพิ่มขึ้น ล้อกับการปรับขึ้นของราคาหลักทรัพย์ โดย SET เพิ่มขึ้นปิดที่ 1485.75 จุด สิ้น 2Q57 (+8%QoQ, +14% จากสิ้นปี 56) แต่กำไรสุทธิรวมยังลดลง 26%YoY จากรายได้ค่านายหน้าธุรกิจหลักทรัพย์ลดลง ล้อกับมูลค่าซื้อขายฯ ลดลงจาก 58.6 พันล้านบาท ใน 2Q56
เลือก KGI เป็น Top pick มูลค่าพื้นฐานปี 58 ที่ 3.80 บาท โดย KGI ดำเนินกลยุทธ์การเป็นผู้ให้บริการด้านการเงินครบวงจร ทำให้บริษัทมีรายได้มาจากหลายทาง ที่โดดเด่น คือ (1) รายได้ค่านายหน้าธุรกิจหลักทรัพย์เป็นแหล่งรายได้หลัก มีสัดส่วนรายได้ 40% ของรายได้รวมในปี 2556 (เฉลี่ย 3 ปี ที่ 37.5%) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 68% (2) ธุรกิจอนุพันธ์ เป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาดอนุพันธ์สูงสุดที่ 12.4% ใน 8M57
(3) รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ ในธุรกิจตราสารหนี้ KGI เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ของการซื้อขายตราสารหนี้รวมทุกประเภท และ (4) กำไรพอร์ตการลงทุน มีสัดส่วนรายได้เป็นลำดับ 2 ของบริษัท กลยุทธ์การเป็นผู้ให้บริการครบวงจรทำให้ KGI มีการกระจายรายได้ที่ดีกว่าคู่แข่ง ทำให้ได้รับผลกระทบต่ำกว่าคู่แข่งในช่วงที่มูลค่าซื้อขายผันผวน เพราะมีรายได้ด้านอื่นมาช่วยชดเชย โดยกำไรของ KGI ลดลง 37%YoY ใน 1H57 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทหลักทรัพย์ 10 แห่ง ที่จดทะเบียนในตลาดฯ ที่ปรับลดลง 61.6%
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา KGI ได้เน้นช่องทางการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้สัดส่วนลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเพียง 28% ในปี 2552 เพิ่มเป็น 58% ในปี 2556 สูงกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ที่ยังคงเน้นช่องทางการซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดเป็นหลัก แม้จะเป็นกลยุทธ์ในการรักษาส่วนแบ่งการตลาด แต่เป็นปัจจัยหนึ่งกดดันให้อัตราค่าคอมมิชชั่นของ KGI ปรับลดลงค่อนข้างมากจากราว 0.15% ช่วงก่อนการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในปี 2555 ลดลงเหลือเพียง 0.11% ใน 1H57 (ต่ำที่สุดในกลุ่มหลักทรัพย์)

*** เพิ่มเป้าวอลุ่มซื้อขายครึ่งปีหลังเป็น 5 หมื่นลบ./วัน
บล.กรุงศรี ระบุว่า มูลค่าซื้อขายใน 3Q57 ปรับสูงขึ้นมากเทียบกับใน 2Q57 (มูลค่าซื้อขายของ SET และ MAI เฉลี่ย 54 พันล้านบาทใน ก.ค.-19 ก.ย.) และแนวโน้มทรงตัวระดับสูงใน 4Q57 จากปัจจัยบวก (1) ความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (2) บริษัทจดทะเบียนมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตเร่งตัวขึ้นในปี 58 (3) เม็ดเงินลงทุนของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และ (4) การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินของธนาคารกลางหลัก เช่น สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น
เราปรับสมมติฐานมูลค่าซื้อขายใน 2H57 เพิ่มจาก 45 พันล้านบาท เป็น 50 พันล้านบาท และปรับคาดการณ์มูลค่าซื้อขายทั้งปี 57 เพิ่มจาก 40 พันล้านบาท เป็น 43 พันล้านบาท (-14.6%YoY) และได้ปรับคาดการณ์มูลค่าซื้อขายในปี 58 เพิ่มจาก 45 พันล้านบาท เป็น 48 พันล้านบาท (+11.6%) บรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นส่งผลบวกทางตรงทำให้รายได้ค่านายหน้าธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น และส่งผลทางอ้อมต่อรายได้หลักด้านอื่น เช่น ธุรกิจวานิชธนกิจที่จะดึงดูดบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนได้มากขึ้น รายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีกำไรจากพอร์ตลงทุนเพิ่มขึ้นการแข่งขัน และการกระจุกตัวของรายได้กดดันผลการดำเนินงานผันผวน

*** กำไรทั้งกลุ่มปี 58 โต 19.6%- MBKET โตมากสุด 23% ตามด้วย ASP
แม้แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์จะฟื้นตัว แต่ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันผลการดำเนินงานผันผวนในช่วง 2H57 และในปี 58 อาจเกิดจาก (1) การแข่งขันสูงขึ้นกดดันความสามารถการทำกำไร เช่น การปรับลดค่าคอมมิชชั่นเพื่อรักษาฐานลูกค้า และขยายส่วนแบ่งการตลาด (2) โครงสร้างรายได้ที่พึงพิงรายได้ค่านายหน้าธุรกิจหลักทรัพย์เป็นหลัก (สัดส่วนมากกว่า 60% ของรายได้รวมในช่วง 3 ปีหลัง) และ (3) เศรษฐกิจต่างประเทศผันผวน หลังจากเฟดยุติโครงการ QE ในปีนี้ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นในปี 58 เศรษฐกิจในยูโรโซนฟื้นตัวอ่อนแอ รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในต่างประเทศ ผลการดำเนินงานฟื้นตัวใน 2H57 และกลับมาขยายตัวเต็มปีในปี 2558
คาดผลการดำเนินงาน 2H57 ของบริษัทหลักทรัพย์ใน KSS coverage (ASP KGI MBKET) จะฟื้นตัวแข็งแกร่ง ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับใน 1H57 ตามมูลค่าซื้อขายที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอใน 1H57 ทำให้ผลการดำเนินงานรวมทั้งปี 57 ของกลุ่มหลักทรัพย์ปรับลดลงเฉลี่ย 29.2%YoY ที่ 2.3 พันล้านบาท โดย MBKET ปรับลดลงมากที่สุด (-35%YoY) ASP (-31%YoY) และ KGI (-16%YoY)
อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานปี 58 จะกลับมาขยายตัว โดยคาดกำไรสุทธิรวมจะปรับเพิ่มขึ้น 19.6% YoY ที่ 2.8 พันล้านบาท โดยคาด MBKET จะมีอัตรากำไรปรับเพิ่มขึ้น 23%YoY รองลงมาเป็น ASP กำไรเพิ่มขึ้น 20% และ KGI มีกำไรเพิ่มขึ้น 15% การแข่งขันที่สูงขึ้นกดดันอัตราค่าคอมมิชชั่นลดลง แต่บริษัทหลักทรัพย์จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากมูลค่าซื้อขายที่สูงขึ้นมาชดเชย เรามีมุมมองการลงทุนต่อกลุ่มหลักทรัพย์ที่ดีขึ้น และปรับน้ำหนักการลงทุนกลุ่มหลักทรัพย์จาก "น้อยกว่าตลาด" เป็น "เท่ากับตลาด" จากมุมมองบวกต่อ
(1) การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานใน 2H57 และขยายตัวต่อเนื่องในปี 58 (2) อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง โดยคาดกลุ่มหลักทรัพย์ (ASP KGI MBKET) มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยในปี 57-58 สูง 8.3% มากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (3.8%) และ SET (3%) และ (3) โอกาสการเติบโตในธุรกิจวานิชธนกิจ หลังจากภาวะการลงทุนฟื้นตัวจะดึงดูดบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนฯ มากขึ้น รวมทั้งการออกกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
โดยแนะนำ "ซื้อ" KGI (มูลค่าพื้นฐานปี 58 ที่ 3.80 บาท) เลือกเป็น Top pick จากความโดดเด่นการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน โครงสร้างรายได้ที่มีการกระจายตัว และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในกลุ่มเฉลี่ย 9.6% ในปี 57-58 นอกจากนี้ ปรับคำแนะนำ MBKET (มูลค่าพื้นฐานปี 58 ที่ 26.13 บาท) จาก "ขาย" เป็น "ซื้อ" จากการเป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ทำให้ได้แรงบวกจากการประหยัดต่อขนาดจากการปรับขึ้นของมูลค่าซื้อขาย และผลการดำเนินงานกลับมาเติบโตในปี 58 และปรับคำแนะนำ ASP (มูลค่าพื้นฐานปี 58 ที่ 4.18 บาท) จาก "ขาย" เป็น "ถือ" เพื่อรับเงินปันผล

*** พื้นฐานเศรษฐกิจแกร่งเป็นหัวใจหลักผลักดันการเติบโตตลาดหุ้นไทย
การลงทุนฟื้นตัว หลังคลายกังวลปัญหาการเมืองที่กดดันมาตั้งแต่ปลายปี 2556 มูลค่าซื้อขายของ SET และ MAI ปรับลดลงต่อเนืองจากระดับสูง 64.2 พันล้านบาทใน 1Q56 (สถิติสูงสุดเฉลี่ยรายไตรมาส นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2518) จากความกังวลเศรษฐกิจต่างประเทศ และปัญหาการเมืองในประเทศ กดดันมูลค่าซื้อขายปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 20 เดือนที่ 31.2 พันล้านบาทในเดือน เม.ย. 57 แต่ภาวะการลงทุนกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะคลายกังวลจากปัญหาการเมือง หลังการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่ 22 พ.ค. มูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญใน 2Q57 เราคาดว่ามูลค่าซื้อขายใน 2H57 จะอยู่ที่ราว 50 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จาก 35.6 พันล้านบาทใน 1H57 โดยปรับมูลค่าซื้อขายทั้งปี 57 เพิ่มขึ้นจาก 40 พันล้านบาท เป็น 43 พันล้านบาท ขณะเดียวกัน มองว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจะส่งผลบวกต่อเนื่องทำให้มูลค่าซื้อขายปี 58 ทรงตัวระดับสูงต่อเนื่องจากใน 2H57 โดยปรับเพิ่มมูลค่าซื้อขายปี 58 จากเดิม 45 พันล้านบาท เป็น 48 พันล้านบาท

*** การเติบโตของตลาดหลักทรัพย์มาจากแรงผลักดันภายในเป็นหลัก
พื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง และการขยายตัวของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนเป็นปัจจัยหลักผลักดันตลาดหลักทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยภายนอกจากต่างประเทศ เช่น เศรษฐกิจ นโยบายของรัฐ เป็นปัจจัยรองเร่งการเติบโต เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ย 6.8%YoY (CAGR) ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (2537-2556) ล้อกับขนาดมูลค่าตามราคาตลาดของตลาดหลักทรัพย์ (Market Capitalization) ที่เติบโตเฉลี่ย 6.7%YoY แต่พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2552-2556) เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ย 5.6%YoY แต่ Market Cap ของตลาดหลักทรัพย์เติบโตถึง 26.8%YoY ล้อกับมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 25.6% YoY ในช่วง 5 ปี (เติบโต 9%YoY ในช่วง 20 ปี) ส่วนสำคัญมาจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเติบโต โดยมีปัจจัยภายนอกเป็นตัวเร่ง โดยเฉพาะการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงิน (โครงการ QE) และปรับลดอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ ทำให้กระแสเงินทุนไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ทำให้ SET ปรับขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว จากระดับ 449.96 สิ้นปี 51 มาที่ 1298.71 สิ้นปี 56 และปรับขึ้นต่อเนื่องอีกกว่า 20% ในปีนี้

*** คาดกำไรกลุ่มปี 57 ลดลง 29.2%YoY แต่จะปรับขึ้น 19.6% ในปี 58
ธุรกิจหลักทรัพย์อยู่ในกลุ่ม Cyclical sector เนื่องจากผลการดำเนินงานมีแนวโน้มล้อกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ด้านศูนย์วิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 57 เติบโตชะลอตัวที่ 1.8-2.3% จาก 2.9% ในปี 56 ล้อกับสภาพัฒน์ที่คาดจีดีพีเติบโตราว 1.5-2.5% และเศรษฐกิจเร่งตัวเติบโต 3.5-4.5% ในปี 58 ด้านผลการดำเนินงาน เราคาดผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มหลักทรัพย์ (ASP KGI MBKET) จะรายงานกำไรสุทธิปี 57 ที่ 2.3 พันล้านบาท ลดลง 29.2%YoY โดยกำไรสุทธิจะกลับมาขยายตัว 19.6% เป็นราว 2.8 พันล้านบาท ในปี 58 ตามการเพิ่มขึ้นของมูลค่าซื้อขาย
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอดีต ราคาหุ้นบริษัทหลักทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นล้อกับเศรษฐกิจ เนื่องจากผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเติบโต จังหวะที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนหุ้นหลักทรัพย์ ควรจะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อเศรษฐกิจใกล้ถึงจุดสูงสุด

*** ฟิลลิป เลือก MBKET เป็นหุ้นเด่น ราคาพื้นฐาน 22.40 บาท

บล.ฟิลลิป เปิดเผยว่า กลุ่ม บล. (เฉพาะหลักทรัพย์ที่วิเคราะห์ ได้แก่ ASP, CGS, MBKET, KGI และ FSS) รายงานกำไรสุทธิ 2Q57 รวมกัน มีทิศทางลดลง y-y เป็นไปตามที่ทางฝ่ายคาดไว้ เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาด SET&MAI ในปีก่อนหน้ามีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้กำไร 2Q57 ไม่สามารถเติบโตได้เทียบเท่า 2Q56 อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบในเชิง q-q แล้ว กำไร 2Q57 มีการเติบโตสูงถึง 89.1% q-q จากการกลับเข้ามาซื้อขายอย่างคึกคักอีกครั้งในช่วงปลายไตรมาส 2 หลังจากสถานการณ์การเมืองที่มีความชัดเจนในทางออกของปัญหามากขึ้นคำแนะนำการลงทุน
ให้น้ำหนัก "ลงทุนปกติ" โดยคาดว่ากำไรสุทธิ ปี57 จะมีมูลค่าลดลง y-y เนื่องจากการได้รับผลกระทบจากมูลค่าการซื้อขายที่ลดต่ำลงมากในช่วงครึ่งปีแรก ดังนั้น ทางฝ่ายจึงเลือก MBKET (ราคาพื้นฐานปี 57 เท่ากับ 22.40 บาทต่อหุ้น) เป็น Top Pick ของกลุ่มเพราะทางฝ่ายคาดในช่วงครึ่งปีหลังมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะกลับเข้ามาซื้อขายอย่างคึกคักอีกครั้ง โดย บล.ที่ได้รับอานิสงส์บวกมากที่สุด คือ MBKET ที่มีส่วนแบ่งครองตลาดมากที่สุดและมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นจากครึ่งปีแรก

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com