ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ ณ เวลา 9.36 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.33/40 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดทะยานขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการภาคเอกชนที่สดใส และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขยับขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐ แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพราะเป็นสัปดาห์ที่คาบเกี่ยววันหยุดยาว อีกทั้งทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่ชัดเจน ดัชนียังมีกรอบบวกจำกัด และต้องระวังแรงขายทำกำไร หุ้นเด่นเลือก PTTEP-BBL-STEC-CK-SPALI-LPN-QH-AIT-TASCO-SRICHA-BTS-PTT-SAMART-KBANK-KTB-PCA-KCE และ DELTA



นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงผลประกอบการของ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีก่อนน่าจะเติบโต 17% ซึ่งในงวดนี้จะทำกำไรได้ประมาณ 1,700 ล้านบาท เนื่องจากค่าเช่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากการปรับค่าเช่าตามสัญญา รวมทั้งการต่อสัญญากับผู้เช่าโครงการ เชียงราย และลาดพร้าว

ส่วนรายได้จากโครงการใหม่ จะมีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนตารางเมตร ได้แก่ เชียงใหม่ หาดใหญ่ (เปิดไตรมาส 4 ปี56) สมุย (เปิดเดือน มี.ค. 57) และ ศาลายา ซึ่งเพิ่งเปิดเมื่อเดือน ส.ค. ได้รับการตอบรับดี โดยประมาณการดังกล่าวยังไม่ได้รวมกำไรจากการขายโครงการ เซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต เนื่องจากยังไม่มีข้อสรุปว่าจะบันทึกกำไรทั้งจำนวนราว 5 พันล้านบาท หรือ ทยอยบันทึกราว 40 ล้านบาทต่อไตรมาส (ตลอดอายุสิทธิการเช่า 30 ปี)

นอกจากนี้ยังมองว่า ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 4 ปี 57 ซึ่งเป็นผลจากค่าเช่าเฉลี่ยคาดจะเพิ่มขึ้นจากการต่อสัญญากับผู้เช่าในโครงการเซ็นทรัล พิษณุโลก และ พระราม 9 ซึ่งเปิดมาครบ 3 ปี อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการจับจ่ายใช้สอยที่ฟื้นตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับเป็นช่วงของการเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ จึงมั่นใจว่า ผลประกอบการในปี 57 ยังอยู่ในทิศทางที่ดี

สำหรับกรณีที่ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทำให้ บริษัท เทเวศประกันภัย ไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ CPN ในกรณีเพลิงไหม้ เซ็นทรัลเวิลด์ ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องกังวลใจแต่อย่างใด เนื่องจากไม่เคยบันทึกค่าสินไหมจากประกันภัยในงบการเงิน ขณะที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ไม่ได้รวมค่าสินไหมในประมาณการเช่นกัน เว้นแต่ CPN ได้รับค่าสินไหมจะเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการในอนาคต

จุดสำคัญที่ทำให้ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ มองหุ้น CPN ในทิศทางที่ค่อนข้างเป็นบวกนั้น ล้วนเป็นผลมาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ 3-4 โครงการต่อปี ซึ่งช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ จึงประเมินราคาเป้าหมายในปี 57 ไว้ที่ระดับ 61 บาท



บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค.) สำหรับภาวะการลงทุนในวันนี้ MBKET เชื่อว่า SET INDEX จะขยับกรอบแกว่งขึ้นไปบริเวณ 1,530-1,540 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง เพราะเป็นสัปดาห์ที่คาบเกี่ยววันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย อีกทั้งทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม BBL / KBANK รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 3/57 ออกมาดีกว่าคาด อาจทำให้แรงขาย/ลดน้ำหนักในกลุ่มธนาคาร ชะลอตัว แต่อาจกลับมาซื้อสุทธิบางส่วนลักษณะ Covered Short ได้ บวกกับราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว ช่วยจำกัด downside risk ของกลุ่มพลังงาน พร้อมกับแรงเก็งกำไรต่อการประชุมกพช.วันที่ 22 ต.ค.นี้ ขณะที่การปราศรัยของประธานเฟด Janet Yellen ไม่ส่งสัญญาณด้านเศรษฐกิจใดๆ

ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้ ติดตามการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนวันที่ 20-23 ต.ค. และ GDP ใน 3Q57 ของจีนในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นทั่วเอเชีย

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ เราแนะนำให้ “เก็งกำไรบางส่วน เพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ 1,550 จุด+/-“ เน้นหุ้นที่มีประเด็นเด่นเฉพาะหลักทรัพย์

กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” KTB/ PCA



บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค.) SET เริ่มทรงตัวทำให้ลุ้นดีดกลับได้ แต่คาดกรอบแคบจึงเน้นขายดีกว่า!!

แนวโน้ม: เมื่อวันศุกร์ SET เริ่มมีแรงซื้อดันกลับขึ้นได้บ้างในภาคบ่าย หลังปรับตัวลงเกือบ40 จุดในช่วง 3 วันท้ายสัปดาห์ ขณะที่เช้านี้ยังได้รับแรงหนุนจากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเกือบ 2% และตลาดหุ้นยุโรปที่ปิดบวกในระดับ 2-3% กันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ECB น่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจของยูโรโซนช่วงหลังไม่ค่อยดีนัก

รวมทั้งยังได้รับแรงบวกจากตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี และผลประกอบการภาคเอกชนที่ออกมาค่อนข้างสดใส ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้พลิกกลับมาแกว่งบวกกันเกือบหมดเช่นกัน จึงทำให้ FSS คาดว่าต้นสัปดาห์นี้เรามีสิทธิเห็นการรีบาวด์กลับเป็นบวกของตลาดหุ้นไทยด้วย

อย่างไรก็ตามประเด็นความคาดหวังเกี่ยวกับมติ ECB ยังไม่ได้มีความชัดเจน รวมทั้งยังไม่ได้มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามา ดังนั้นเราคาดว่า SET จะยังมีกรอบบวกจำกัด และต้องระวังแรงขายทำกำไรกดดันให้กลับไปปรับตัวลงต่ออีกครั้งไว้ด้วย

แนวรับ 1526-1520 , 1514-1510 จุด แนวต้าน 1532-1535 , 1538-1542 จุด

กลยุทธ์: แม้ว่าจะมีแรงหนุนจากการคาดการณ์เชิงบวกว่า ECB อาจจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมออกมา แต่ FSS คาดว่ากรอบรีบาวด์ของ SET ช่วงนี้น่าจะยังจำกัด และต้องระวังการกลับไปปรับตัวลงต่อ ดังนั้นจึงยังแนะนำให้เน้นขายช่วงบวก แล้วถือเงินสดไว้ก่อนดีกว่า เพื่อรอจังหวะซื้อใหม่เมื่อดัชนีไหลลงต่ำ ซึ่งจุดที่จะน่าสนใจกลับเข้าเทรดดิ้งรอบใหม่เรามองไว้ที่บริเวณ 1,500 จุดหรือใกล้เคียงมากกว่า

หุ้นเด่นมีประเด็น: กำไรของธนาคารขนาดใหญ่ส่วนดีกว่าคาด ยกเว้น BBL น่าผิดหวัง Top picks ยังเป็น KBANK (เป้าหมายปี 2015 ที่ 261 บาท) และ KTB (เป้าหมายปี 2015 ที่ 27.60 บาท), กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์จะมีกำไรโดดเด่นสุดในไตรมาส 3/14 Top pick ยังคงเป็น KCE (เป้าหมายปี 2015 ที่ 48 บาท) รองลงมาคือ DELTA (เป้าหมายปี 2015 ที่ 67 บาท)



บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค.) .สำหรับแนวโน้ม SET วันนี้ คาดว่าจะ Rebound ทดสอบแนวต้านย่อยที่บริเวณ 1,548 จุด ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก 1) การ Rebound ของตลาดหุ้น Dow Jones และตลาดหุ้นภูมิภาคเช้านี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดี และ ECB จะเริ่มใช้มาตรการ QE เร็วๆ นี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 2) อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน่มทรงตัวในระดับต่ำนานกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ซึ่งเห็นได้จาก Bond Yield อายุ 10 ปี ที่ปรับลดลงมาที่ 2.2% ในปัจจุบันจากช่วงต้นเดือน ก.ย.ที่ 2.6%

แนะนำ “ซื้อ” เพิ่มพอร์ตกลับมาที่ 90-100% อีกครั้ง ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก 1) สัญญาณ Rebound ของตลาดหุ้นหลักอย่าง Dow Jones, DAX และ NIKKEI 2) SET มีลุ้น Rebound ไปที่ 1,548 หรือมีโอกาสเกิดสัญญาณ “กลับตัว” เมื่อยืนได้เหนือ 1,558 จุด สัปดาห์นี้...แนะนำ “ซื้อ” Domestic Plays อย่าง KBANK BBL STEC CK SPALI LPN QH โดยเฉพาะ KBANK ที่กำไรไตรมาส 3/14 ดีกว่าคาด



บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค.) ว่า ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ บวกต่อ แต่ยังให้ติดตามปัจจัยในยุโรปใกล้ชิด

KGI มอง SET วันจันทร์ปรับขึ้นแต่ยังผันผวน (เทคนิคมองต้าน 1,539) หนุนโดย i) สหรัฐฯ รายงานตัวเลขเริ่มสร้างบ้านและยอดขออนุญาตก่อสร้าง ก.ย. สูงกว่าคาด ผนวกนักลงทุนเพิ่มความหวังเฟดคง QE ไว้ก่อนในการประชุมปลาย ต.ค. โดยเราให้น้ำหนักกรณีนี้ที่ 70% ii) คาดหวัง ธ.กลางยุโรปเริ่มซื้อพันธบัตรในวันนี้ (หากไม่มีพัฒนาการออกมาภายในกลางสัปดาห์ คาดตลาดจะผิดหวัง) iii) ทางการจีนประกาศอัดฉีดสภาพคล่อง 3.3 หมื่นล้านดอลล่าร์ฯ หรือ 2 แสนล้านหยวน เข้าสู่ธนาคารระดับกลาง ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดของการรับมือต่อเศรษฐกิจชะลอตัว ภาพรวม SET น่าจะแกว่งขึ้นใน 2-3 วันข้างหน้าแนะซื้อเก็งสั้น ล็อกกำไรเร็ว ปัจจัยสำคัญสุดต่อภาวะตลาดยังเป็นสถานการณ์ในยุโรป

หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน เก็งกำไร PTT / ซื้อ SAMART



บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค.) คาด SET จะปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐ!!!

...เป็นไปตามหลักการว่า “ผู้นำลง จะเป็นผู้นำขึ้น” เราค่อนข้างชื่นชอบกับการเคลื่อนไหวของ SET Index เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดไม่รีรอที่จะรีบอ่อนตัวลงทดสอบโซนแนวรับที่เรามองว่าแข็งแกร่งบริเวณ 1,520-1,500 จุด โดยดัชนีตลาดปรับลงแตะจุดต่ำสุด 1,519.76 จุด แล้วตามมาด้วยการฟื้นตัวเชิงบวกทันที ทำให้โซนดังกล่าวเป็นแนวรับที่น่าสนใจตามมุมมองที่ให้ไว้ในบทวิเคราะห์

ส่วนวันนี้ เราคาดว่า SET Index จะปรับตัวขึ้นตามดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นกว่า 260 จุดเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งหนุนต่อการเข้าซื้อหุ้นในตลาดที่ดีต่อเนื่องในวันนี้ ดังนั้น นักลงทุน (ข้ามปี) ที่ได้ทยอยสะสมหุ้นเป้าหมายในช่วงที่ตลาดรวมปรับฐาน ยังสมควรหาจังหวะซื้อเพิ่มในช่วงที่ราคาหุ้นแกว่งตัวระหว่างวัน ส่วนนักเก็งกำไรรายวัน เรายังเน้นกลยุทธ์ ”ขึ้นขาย-ลงซื้อ” ในระยะสั้น ส่วนวันนี้ เราคาดว่า SET จะเคลื่อนไหวแดนบวกเป็นหลัก โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวในช่วง 1,535-1,550 จุด (ไม่เกิน 1,555 จุด)

หุ้นเด่นวันนี้: แนะนำเก็งกำไร KBANK PTTEP และ PTT



บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค.) ว่า การฟื้นตัวของ SET น่าจะเกิดขึ้นช่วงสั้น ๆ สุดท้ายยังคงปรับฐานต่อ ยังชื่นชอบหุ้นปันผลเด่น AIT (FV@B 51) และ TASCO (FV@B 63.25) และ SRICHA (FV@43.4) วันนี้เลือก BTS (FV@B12) Top pick คาดกำไรปีนี้จะดีกว่าเดิมกว่าเท่าตัวจากการขายที่ดินเดิมที่ถืออยู่