April 20, 2024   10:57:23 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > CK ปรับใหญ่โครงสร้างบริษัท
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 23/01/2015 @ 08:23:37
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

CK ปรับโครงสร้างบริษัทขนานใหญ่ ประกาศขายโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ให้ CKP ลุยด้านธุรกิจไฟฟ้าเต็มสูบ ขณะที่ CKP ประกาศเพิ่มทุน 3.74 พันล้านหุ้น พร้อมจับ BECL- BMCL ควบรวม ต่อยอดความแข็งแกร่งด้านธุรกิจขนส่ง-คมนาคม โบรกฯ มอง CK ได้ประโยชน์สุดๆ ทั้งกำไรหลังหักภาษีสุทธิจากการขายโรงไฟฟ้า ถึง 1.6 พันลบ. หรือ 0.95 บ./หุ้น ส่วน CKP เชื่อจะนำเงินเพิ่มทุนไปต่อยอดลุยอีก 3 โครงการสำคัญ ขณะที่ BECL-BMCL ทิศทางกำไรจะดีขึ้นทันที โบรกฯ เชียร์ซื้อ CK ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 32.75 - 34 บาท

บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK ยกเครื่องบริษัทลูกและบริษัทในเครือครั้งใหญ่ เพื่อปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ทั้ง การขายเงินลงทุนใน โรงไฟฟ้าไซยะบุรี ทั้งหมด ไปให้กับ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP เพื่อ CKP จะเป็น Holding Company ในธุรกิจโรงไฟฟ้าของกลุ่ม CK ทั้งหมด ขณะที่ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL ได้ประกาศควบรวมกับ บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจด้านคมนาคม
โดยวานนี้ (22 ม.ค.57) ราคาหุ้น CK ปิดที่ 28.50 บ. เพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือ 6.54% มูลค่าการซื้อขาย 4,071.81 บาท
CKP ปิดที่ 18.60 บ. ลดลง 0.90 บาท หรือ -4.62 % มูลค่าการซื้อขาย 889.12 บาท
BECL ปิดที่ 42.00 บ. ลดลง 0.50 บาท หรือ -1.18 % มูลค่าการซื้อขาย 800.35 บาท
BMCL ปิดที่ 2.06 บ. ลดลง 0.32 บาท หรือ -0.32 % มูลค่าการซื้อขาย 2,436 บาท

*** บอร์ด CKP ซื้อหุ้น "ไซยะบุรี พาวเวอร์" 30% จาก CK
ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จากัด (มหาชน) หรือ CKP แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการ อนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้น บริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จากัด (XPCL) ในสัดส่วนร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน คิดเป็น 805,830,000 หุ้น มีมูลค่ารวมประมาณ 4,344 ล้านบาท จาก บริษัท ช.การช่าง จากัด (มหาชน) หรือ CK และการเข้า ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น XPCL รวมทั้งการเพิ่มทุนใน XPCL ตามสัดส่วนการถือหุ้นจนกว่าโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จ เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 5,512 ล้านบาท และการรับภาระผูกพันเดิมที่ CK มีกับเจ้าหนี้สถาบันการเงินของ XPCL
การเข้าลงทุนดังกล่าวเพื่อ สามารถปรับโครงสร้างการถือหุ้นให้มีความเหมาะสมและเป็นไปตามนโยบายในการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่จะเป็นผู้ลงทุนหลักในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าของกลุ่ม CK และจะเพิ่มมูลค่าของบริษัทและเพิ่มความน่าสนใจที่นักลงทุนมีต่อบริษัท อันจะเป็นผลดีต่อการระดมทุนต่อไปในอนาคต รวมถึงช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ และอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมต่อเนื่อง และเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจในระยะยาวให้กับบริษัท

*** แตกพาร์เหลือ 1 บ. - เพิ่มทุน 3.74 พันล้านหุ้น ขาย RO 1 ต่อ 0.34 หุ้นละ3 บ. พ่วงวอร์แรนต์
ขณะที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น CKP พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จาก 5 บาท เป็น 1 บาท จากนั้นจะเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท อีกจำนวน 3,740,000,000 บาท จากเดิมทุนจดทะเบียนจำนวน 5,500,000,000 บาท รวมเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 9,240,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 3,740,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จัดสรรดังนี้ 1. จำนวนไม่เกิน 1,870,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น ในอัตรา 1 หุ้นสามัญเดิมต่อ 0.34 หุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยมีราคาเสนอขาย หุ้นละ 3 บาท 2.จำนวนไม่เกิน 1,870,000,000 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสาคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ซึ่งเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีการจองซื้อและชำระราคาค่าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ในอัตรา 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ได้รับการจัดสรรต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ
ทั้งนี้กำหนดวันวันประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว วันที่ 9 เม.ย. 2558 วันที่ไม่ได้รับสิทธิเข้าประชุม (XM) 11 มี.ค. 2558 และ วันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) 23 เม.ย. 2558

*** BECL ควบรวม BMCL เสริมแกร่งธุรกิจคมนาคม
ด้าน บ.ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL และ บ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ได้ประกาศควบรวมกิจการระหว่างกัน โดยจะตั้งบริษัทใหม่เพื่อเสริมสร้างศักยภาพรองรับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในอนาคต ซึ่งคาดว่าบริษัทใหม่จะมีมาร์เก็ตแคปกว่า 7.8 หมื่นล้านบาท โดยในการควบรวมจะจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัท ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมของ BMCL ต่อ 0.42050530 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมของ BECL ต่อ 8.65537841 หุ้นในบริษัทใหม่
ทั้งนี้ BMCL ได้ลดทุนจดทะเบียนด้วยการลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 1.3 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน BECL จะขายหุ้น 10% ใน BMCL ให้กับ บมจ.ช.การช่าง(CK)ในราคาหุ้นละ 1.79 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 3.67 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ BECL มีกำไรจากการขายหุ้นครั้งนี้ราว 1.33 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน CK ยังจะรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นของ BMCL และ BECL ที่คัดค้านการควบรวมกิจการครั้งนี้ โดยจะรับซื้อจากผู้ถือหุ้นของ BECL ที่คัดค้านไม่เกิน 8% และรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นของ BMCL ที่คัดค้านไม่เกิน 10%
สำหรับวัตถุประสงค์ที่คาดว่าจะได้จากการควบรวมกิจการครั้งนี้ จะช่วยขยายและต่อยอดธุรกิจ เสริมสร้างศักยภาพของบริษัทใหม่ ผสานจุดแข็งของแต่ละบริษัท รวมถึงเพิ่มโอกาสการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ตลอดจนเสริมสร้างภาพลักษณ์ในมุมมองของนักลงทุน โดยคาดว่าบริษัทใหม่จะมีมูลค่ารวมของหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(Market Capitalization) เพิ่มขึ้นเป็นอันดับที่ 35 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยมูลค่ากว่า 7.8 หมื่นล้านบาท

*** ผู้บริหารประสานเสียง ควบรวมครั้งนี้มีแต่ได้กับได้
นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BECL เปิดเผยว่า การควบรวมระหว่าง BECL และ BMCL จะดำเนินการแล้วเสร็จและสามารถซื้อขายหุ้นของบริษัทใหม่ได้ภายในช่วงไตรมาส 3/2558 โดยบริษัทใหม่ภายหลังการควบรวมจะสามารถจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลประกอบการปี 2558 ได้ทันที เนื่องจาก BMCL จะล้างขาดทุนสะสมก่อนดำเนินการควบรวม โดยบริษัทใหม่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล 40% ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการทั้ง 2 บริษัท อนุมัติการควบรวมกิจการ เพื่อผสานความแข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน และสร้างความหลากหลายในการให้บริการ
นางสาวปาหนัน โตสุวรรณถาวร รองกรรมการผู้จัดการสายการเงิน BECL คาดว่าบริษัทใหม่หลังจากควบรวมกิจการ จะมีรายได้รวมในปีนี้อยู่ที่ 11,657 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.42% จากปี 2557 ที่มีรายได้รวม 11,276 ล้านบาท โดยจะมาจากรายได้ของ BMCL จำนวน 2,974 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่ 10% ตามการปรับอัตราค่าโดยสารและมีผู้ใช้บริการโดยสารมากขึ้น และ รายได้จาก BECL 8,683 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% จากปี 2557
ส่วนนายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ช.การช่าง จากัด (มหาชน)หรือ CK เปิดเผยว่า ช.การช่างในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัททั้ง 2 แห่ง และเป็นผู้ถือหุ้นหลักสนับสนุนการควบรวมในครั้งนี้อย่างเต็มที่ และมีความเชื่อมั่นว่าการควบรวมนี้จะทำให้บริษัทใหม่มีความแข็งแกร่งในทุกด้าน มีความพร้อมในการขยายธุรกิจในอนาคตซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น
ด้านนายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ BMCL เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะลดมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 1 บาท เหลือหุ้นละ 0.37 บาท เพื่อล้างขาดทุนสะสมที่บริษัทฯมีประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยหลังลดพาร์ดังกล่าวจะทำให้บริษัทฯมีผลขาดทุนสะสมเหลืออีกประมาณ 100 ล้านบาท และเมื่อบริษัทฯมีการควบรวมกับ BECL แล้ว ขาดทุนสะสมดังกล่าวจะหมดไป? โดยจากที่บริษัทฯมีการควบรวมกับ BECL จะทำให้มีความแข็งแกร่ง และมีโอกาสได้งานประมูลเพิ่มขึ้น

*** โบรกฯ มอง CK ได้ประโยชน์มากสุด แนะซื้อ -เพิ่มราคาเป้าหมาย 32.75 - 34 บ.
บล.บัวหลวงมองว่า CK ดูจะได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการครั้งนี้มากที่สุด เนื่องจากบริษัทจะสามารถขายบริษัทไซยะบุรี (ซึ่งจะรายงานขาดทุนจนถึงปี 2562) ได้ในราคาที่ค่อนข้างดี ในขณะที่เงินสดจากการขายจะถูกนำมาใช้เพื่อซื้อหุ้น BECL (ซึ่งทำกำไรและมีเงินสดจำนวนมาก) และ BMCL (ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงและกำลังพลิกฟื้น) กำไรหลังหักภาษีสุทธิจากการขายบริษัทไซยะบุรีจะอยู่ที่ราวๆ 1.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 0.95 บาทต่อหุ้น เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 32.75 บาท และเปลี่ยนคำแนะนำเป็น ซื้อ
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองว่า CK ขายไซยะบุรีให้ CKP คาดจะบันทึกกำไรก่อนภาษี 3,076 ล้านบาท ใน 3Q58 และ ช่วยลดภาระทางการเงินที่จะสนับสนุนโครงการไซยะบุรี รวมถึงไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุน นอกจากนี้ยังเข้าซื้อ BMCL 10% จาก BECL เพื่อเตรียมควบรวมกิจการระหว่าง BMCL กับ BECL ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตรองรับการประมูลรถไฟสายสีต่างๆในอนาคต และลดภาระทางการเงินของ CK ในการสนับสนุน BMCL ดังนั้น จึงส่งผลบวกต่อ CK คงแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 34 บาท
ส่วนบล.เอเซียพลัส มองว่าจากรายการดังกล่าว จะเป็นผลดีต่อราคาหุ้น CK (ราคาเป้าหมาย 30 บ. ) เป็นหลัก โดยในส่วนของ CK นอกจากจะได้รับกำไรจากการขายเงินลงทุนดังกล่าวข้างต้นแล้ว โครงสร้างธุรกิจที่ทำการปรับปรุงใหม่ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในระยะยาว

*** ประเมิน CKP หลัง เกิด Dilution Effect จะที่ 3.58 บ.
บล.เคเคเทรด ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ CKP หลังเพิ่มทุน 3.58 บาท ด้าน Dilution Effect (กรณี Fully Dilution) ประเมินว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทจะมี Price Dilution อยู่ที่ 5.9% และมี Earnings Dilution อยู่ที่ 40% จากมูลค่าเหมาะสมเดิมที่ประเมินไว้ที่ 14.85 บาท และมูลค่าเหมาะสมที่จะเพิ่มขึ้นจากโครงการ XPCL อีก 5.2 บาท (สัดส่วน 30%) ทำให้มูลค่าเหมาะสมของ CKP เพิ่มขึ้นเป็น 20 บาท ผลกระทบจากการปรับมูลค่าตราไว้จาก 5 บาท เป็น 1 บาท และ Price Dilution ที่เกิดขึ้น จะได้มูลค่าเหมาะสมหลังเพิ่มทุนอยู่ที่ 3.58 บาท
โดยการเพิ่มทุนครั้งนี้ได้รองรับแผนการลงทุนในระยะยาว บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบางส่วนไปลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังน้ำ โครงการไซยะบุรี (XPCL) ในส่วนที่ CK ถือหุ้นอยู่ 30% จำนวน 805.83 ล้านหุ้น คิดเป็นเงิน 5,512 ล้านบาท โดยเงินส่วนที่เหลือบริษัทจะใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการดังกล่าวจนกว่าจะแล้วเสร็จ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และการลงทุนในโครงการต่างๆ ในอนาคต โดยบริษัทมีเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตเป็น 4,280MW ภายในปี 2563 นอกจากโครงการ XPCL ที่จะเริ่มผลิตไฟฟ้าในปี 2562 แล้ว บริษัทยังมีแผนลงทุนในอีก 3 โครงการสำคัญได้แก่ (1) โครงการบางปะอิน (BIC2) (2) โครงการน้ำบาก (CKP ถือหุ้น 42%) และโครงการ SPP อีก 8 โครงการ รวม 960 เกมะวัตต์ ภายในปี 2563 โดยเงินส่วนที่เหลือจะใช้ลงทุนในโครงการต่างที่กล่าวมาข้างต้น

*** โบรกฯ แนะซื้อ BECL เพราะราคายังถูก ให้เป้า 45 บ.
บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า อัตราส่วนการควบรวมของ BECL กับ BMCL หากยึดตามราคาตลาดถือว่าใกล้เคียงกัน แต่หากยึดตาม Book value BECL จะเสียเปรียบเพราะสัดส่วนเทียบกับ BMCL จะอยู่ที่ 72% : 28% ขณะที่ ผลประโยชน์จากการควบรวมนี้ (Synergy) ในด้านของรายได้ เบื้องต้นยังไม่คาดหวังอะไรไม่ได้มากนัก เนื่องจากเป็นคนละธุรกิจ แต่ในด้านของต้นทุนการเงินอาจจะลดลงได้ โดยเฉพาะ BMCL มีต้นทุนการเงินสูง 7.5% เทียบ BMCL อยู่ที่ราว 5% ทั้งนี้ หากลดอัตราดอกเบี้ยของ BMCL ได้ 2.5% จะช่วยให้ฐานกำไรบริษัทใหม่เพิ่มราว 250 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มศักยภาพการประมูลรถไฟฟ้าในอนาคตให้ BMCL จากฐานเงินทุนที่เพิ่มขึ้นจาก BECL
อย่างไรก็ตาม ในด้านของทิศทางกำไรในบริษัทใหม่นั้นจะดูดีขึ้นกว่าแยกเป็นรายบริษัท โดยกำไรจะอยู่ที่ระดับราว 2.6 พันล้านบาทในปีนี้ และเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ปีนี้ ด้วยอัตราการเติบโต 26% ต่อปีตั้งแต่ 2558 - 2562 ตามการเปิดรถไฟฟ้าสีม่วง (2560) และน้ำเงินส่วนต่อขยาย (2561) แตะระดับ 6 พันล้านบาท แต่ในช่วงหลังปี 2563 กำไรจะลงสู่ระดับ 3-4 พันล้านอีกครั้ง หลังสัญญาทางด่วนชั้นใน สิ้นสุดลง (ตามกราฟด้านหลัง) หากไม่ได้รับการต่อสัญญา (แต่ทั้งนี้ BECL มี First right ในการเจรจากับการทางพิเศษเป็นรายแรก) ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยจะติดตามและนำเสนออีกครั้งหลังประชุมนักวิเคราะห์วันนี้แนะนำเก็งกำไร BECL บันทึกกำไรพิเศษกว่า 4 พันล้านบาท
ทั้งนี้ราคาปัจจุบัน BMCL ยังแพงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ 1.2 (รวมผลสายสีน้ำเงินแล้ว) มาก จึงแนะนำเก็งกำไร BECL ซึ่งยังถูก ประเมินราคาเป้าหมาย 45.00 บาท และมีประเด็นขับเคลื่อนราคาหุ้นได้จาก การบันทึกกำไรพิเศษจากการขาย BMCL ราว 1 พันล้านบาท บวกกับกำไรพิเศษจากการขาย TTW และ CKP ก่อนหน้านี้อีกกว่า 3 พันล้านบาท (ยังไม่รวมในประมาณการ แต่เป็นกำไรทางบัญชีและไม่มีผลต่อ FV )


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com