March 29, 2024   1:51:05 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เปิด 6 หุ้นเสี่ยงควรเลี่ยงปี 58 ขาดทุน-กำไรทรุด-ราคาสูง!
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 26/02/2015 @ 08:31:40
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เปิดกรุ 6 หุ้นเสี่ยงทำผลงานสุดแสนบักโกรก นำร่องโดย AMANAH-DIMET-SGP จนผู้ถือหุ้นเซ็งไปตามกัน หลังงบปี 57 ออกมาขาดทุนย่อยยับ ขณะที่ NINE-MCOT-CHOW ออกอาการง่อยเปลี้ยเสียขา กำไรลดฮวบฮาบจนน่าใจหาย



จากการสำรวจข้อมูลนับตั้งแต่วันแรกของการเริ่มประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2557 งวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET และ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอหรือ mai จนถึงปัจจุบัน (25 ก.พ.) พบว่า มีหุ้นของ 6 บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงต่อการลงทุนในช่วงระหว่างปีนี้ (2558) เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีผลประกอบการขาดทุน หรือ กำไรลดลง เมื่อปีที่ผ่านมา (2557) โดยแบ่งเป็นขาดทุน 3 บริษัท และ กำไรลดลง 3 บริษัท

สำหรับบริษัทที่มีความเสี่ยงจากภาวะขาดทุนมากที่สุดอันดับแรกคือ บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH เนื่องจากมีผลขาดทุนเพิ่มจากปีก่อนหน้า (2556) เกือบ 3 เท่าตัว โดยมีผลขาดทุนสุทธิทั้งสิ้น 224.29 ล้านบาท หรือประมาณ 0.24 บาทต่อหุ้น ขาดทุนเพิ่มขึ้นราว 294% จากปี 2556 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 56.99 ล้านบาท หรือประมาณ 0.06 บาทต่อหุ้น ซึ่งการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากการที่บริษัทมีรายได้ลดลงจากสัญญาเช่าซื้อ ค่าธรรมเนียม และค่าบริการ

ขณะที่ ราคาหุ้น AMANAH วานนี้ (25 ก.พ.) ปิดที่ระดับ 1.21 บาท ปรับตัวลง 0.06 บาท หรือ 4.72% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 18.03 ล้านบาท



ส่วนบริษัทที่มีความเสี่ยงมากที่สุดรองลงมาเป็นอันดับสองคือ บริษัท ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) หรือ DIMET โดยมีผลขาดทุนสุทธิทั้งสิ้น 6.25 ล้านบาท หรือขาดทุนประมาณ 0.03 บาทต่อหุ้น ขาดทุนเพิ่มขึ้นราว 268% จากปี 2556 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 1.7 ล้านบาท หรือขาดทุนประมาณ 0.01 บาทต่อหุ้น ซึ่งการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากการแข่งขัน ระหว่างผู้ผลิตและจำหน่ายสีรายต่างๆ มีความรุนแรงมากขึ้น จึงส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายและบริการลดลง

ขณะที่ ราคาหุ้น DIMET วานนี้ (25 ก.พ.) ปิดที่ระดับ 14.20 บาท ปรับตัวขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.71% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 10.86 ล้านบาท



สำหรับบริษัทที่มีความเสี่ยงมากที่สุดเป็นอันดับสุดท้ายในกลุ่มนี้คือ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP โดยพลิกขาดทุนเป็นจำนวน 514.30 ล้านบาท หรือขาดทุนประมาณ 0.56 บาทต่อหุ้น เทียบกับผลประกอบการของปี 2556 มีกำไรสุทธิ 1.60 พันล้านบาท หรือมีกำไรประมาณ 1.74 บาทต่อหุ้น ซึ่งการพลิกขาดทุนเป็นผลสืบเนื่องมาจากบริษัทจำหน่ายก๊าซ LPG ได้น้อยลง หลังมีการปรับราคาให้สูงขึ้น สวนทางกับน้ำมันที่มีราคาถูกลง

ขณะที่ ราคาหุ้น SGP วานนี้ (25 ก.พ.)ปิดที่ระดับ 11.20 บาท ปรับตัวลง 0.30 บาท หรือ 2.61% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 71.68 ล้านบาท



สำหรับบริษัทที่มีความเสี่ยงจากภาวะกำไรหดมากที่สุดอันดับแรกคือ บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NINEเนื่องจากมีกำไรลดลงจากปีก่อนหน้าเกือบ 1 เท่าตัว โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1.73 ล้านบาท หรือประมาณ 0.01 บาทต่อหุ้น กำไรลดลงราว 92% จากปี 2556 ที่มีผลกำไรสุทธิ 20.52 ล้านบาท หรือประมาณ 0.16 บาทต่อหุ้น ซึ่งผลกำไรที่ลดลงดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากรายได้จากการจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ลดลง 41% และจากการให้บริการลดลง 14%

ขณะที่ ราคาหุ้น NINE วานนี้ (25 ก.พ.)ปิดที่ระดับ 8.80 บาท ปรับตัวลง 0.10 บาท หรือ 1.12% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 47.46 ล้านบาท



ส่วนบริษัทที่มีความเสี่ยงมากที่สุดรองลงมาเป็นอันดับสองคือ บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT โดยมีผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 503.79 ล้านบาท หรือมีกำไรประมาณ 0.73 บาทต่อหุ้น กำไรลดลงราว 67% จากปี 2556 ที่มีผลกำไรสุทธิ 1.53 พันล้านบาท หรือมีกำไรประมาณ 2.22 บาทต่อหุ้น ซึ่งผลกำไรที่ลดลงดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากบริษัทมีรายได้จากธุรกิจร่วมดำเนินกิจการ หรือ สัมปทาน และ ธุรกิจโทรทัศน์ลดลงเมื่อเทียบกับรายได้ในช่วงปี 2556

ขณะที่ ราคาหุ้น MCOT วานนี้ (25 ก.พ.) ปิดที่ระดับ 16.80 บาท ปรับตัวลง 0.40 บาท หรือ 2.33% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 27.42 ล้านบาท



โดยบริษัทที่มีความเสี่ยงมากที่สุดเป็นอันดับสุดท้ายในกลุ่มนี้คือ บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW แม้จะมีการขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจโซลาฟาร์ม กลับแสดงผลกำไรสุทธิได้แค่ 47.34 ล้านบาท หรือมีกำไรประมาณ 0.06 บาทต่อหุ้น กำไรลดลงราว 55% จากปี 2556 ที่มีผลกำไรสุทธิ 105.17 ล้านบาท หรือมีกำไรประมาณ 0.13 บาทต่อหุ้น ซึ่งผลกำไรที่ลดลงดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการนำเข้าเหล็กแท่งจากต่างประเทศ จึงส่งผลให้บริษัทได้รับออเดอร์สั่งซื้อน้อยลง และราคาเหล็กถูกลง

ขณะที่ ราคาหุ้น CHOW วานนี้ (25 ก.พ.) ปิดที่ระดับ 7.60 บาท ปรับตัวขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.66% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 10.71 ล้านบาท



“สิ่งที่น่าสนใจและควรเฝ้าติดตามต่อจากนี้คือ ทั้ง 6 บริษัทที่ได้กล่าวถึงข้างต้น จะมีกลยุทธ์หรือแผนการใดๆที่สามารถนำมาใช้เพื่อหนุนผลประกอบให้ดีขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะบริษัทที่ประสบกับผลขาดทุนในปีที่ผ่านมา และยังมีเรื่องของราคาหุ้นที่จัดว่าอยู่ในโซนอันตราย เนื่องจากราคา ณ ปัจจุบัน ยังเป็นราคาที่ยังสะท้อนการคาดการณ์เชิงบวกที่ผ่านมา อีกทั้งค่าพีอีของหุ้นบางตัวก็กระโดดขึ้นไปสูงมากเกิน หลังจากที่มีการประกาศงบปี 57”


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com