March 28, 2024   9:55:54 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นดิ่งแตะ 1,410 จุด กังวลส่งออกทรุดหนัก
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 28/07/2015 @ 08:43:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ส่งออกเดือน มิ.ย. ทรุดหนักกว่าคาด ติดลบเกือบ 8% ผสมโรงหุ้นจีนร่วง กดดัชนีฯดิ่งแตะแนวรับ 1,410 จุด ต่างชาติ-สถาบัน-พอร์ตโบรกฯ จับมือกันขาย กูรูชี้เส้นเทคนิคไร้สัญญาณฟื้น แนะรอซื้อบริเวณ 1,400 จุด +/- จับตาหุ้นน้องใหม่ WICE ลงสนามเทรดสวนกระดานแดงเดือด ผู้บริหาร มั่นใจหุ้นเหนือจอง 2.10 บาท เหตุราคามีส่วนลดมาก - จำนวนหุ้นน้อย ส่วน PK หวนคืนสังเวียนอีกครั้ง ตลท.เตือนราคาล่าสุดที่ 0.40 บาท ไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ขณะที่ผู้บริหารส่งซิก BV ล่าสุดมากกว่า 2 บาท

หุ้นไทยวันทำการแรกของสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวอยู่ในแดนลบตั้งแต่เปิดการซื้อขาย ก่อนมีแรงเทขายอย่างหนักในช่วงบ่ายของการซื้อขาย โดยดัชนีฯร่วงลงแตะระดับต่ำสุดที่ 1,410.72 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดรอบกว่า 7 เดือน และเป็นแนวรับสำคัญที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ สาเหตุหลักของการเทขายหุ้นรอบนี้ เป็นผลจากตัวเลขส่งออกไทยในเดือน มิ.ย. ที่หดตัวมากกว่าคาด รวมถึงการร่วงลงแรงกว่า 8% ของตลาดหุ้นจีน
ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,412.55 จุด ลดลง 25.53 จุด หรือ 1.78% มูลค่าการซื้อขาย 40,259.55 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องอีก 1,504.56 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 917.22 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 703.50 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิ 3,125.27 ล้านบาท

** ส่งออกมิ.ย.ติดลบ 7.87% ต่ำสุดรอบ 3 ปี 6 เดือน
นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงฯ อยู่ระหว่างพิจารณาตัวเลขการส่งออกของทั้งปี 2558 ใหม่ จากเดิมคาดโต 1.2% หลังตัวเลขการส่งออก ในเดือน มิ.ย.2558 มีมูลค่า 1.82 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 7.87% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็น การลดลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน และต่ำสุดในรอบ 3 ปี 6 เดือน
ทั้งนี้อัตราหดตัวของมูลค่าส่งออกของไทยยังจัดว่าอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยสถิติส่งออกล่าสุดถึงเดือนพฤษภาคม 2558 เกือบทุกประเทศทั่วโลกมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกติดลบมากกว่าไทย อาทิ ออสเตรเลีย (-21.9%) ฝรั่งเศส (-16.8%) สิงคโปร์ (-13.3%) มาเลเซีย (-13.1%) ญี่ปุ่น (-7.8%) เกาหลีใต้ (-5.7%) สหรัฐฯ (-5.2%)
อย่างไรก็ตาม มองว่า แนวโน้มการ การส่งออกเดือนก.ค.คาดมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการปรับตัวดีขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปัจจุบันติดลบ 19.1% และกลุ่มสินค้าเกษตรจะปรับตัวดีขึ้น
ส่วนกรณีที่สหรัฐเตรียมประกาศการจัดอันดับประเทศที่ถูกจับตาเรื่องกฎหมายแรงงานนั้น ยืนยันว่าจะไม่กระทบกับภาคการส่งออกของไทยในปีนี้
ทั้งนี้ตัวเลขการส่งออกเดือน มิ.ย. ที่ติดลบถึง 7.87% ถือว่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะติดลบประมาณ 4.6-5%

** หุ้นจีนทรุดกว่า 8%
ด้านดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดที่ระดับ 3,725.56 จุด ลดลง 345.35 จุด หรือ -8.48 %??เป็นผลมาจากนักลงทุนเทขายหุ้น หลังกำไรสุทธิของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของจีนเดือนมิถุนายนลดลง 0.3% ชะลอจากที่เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพฤษภาคม ขณะกำไรสุทธิช่วงครึ่งปีแรกลดลง 0.7% ทำให้นักลงทุนมีความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนมากขึ้น
ทั้งนี้การปรับลงถึง 8% เป็นการดิ่งลงมากที่สุดในวันเดียวในรอบกว่า 8 ปี

** โบรกฯแนะรอซื้อใกล้ 1,400 จุด
บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงหลังรับแรงกดจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ขณะการส่งออกเดือนมิ.ย. ของไทยยังติดลบต่อเนื่องที่ -7.87% แม้เงินบาทจะอ่อนตัวลงต่อเนื่องเกือบแตะ 35 บาทต่อดอลลาร์ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของการส่งออกไทย ทำให้คาดว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะยังไม่กลับมาเร็วมากนัก
ทั้งนี้มองว่าหุ้นไทยยังคงมีความเสี่ยงในการปรับประมาณการลงของนักวิเคราะห์ หลังเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงการเลื่อนโครงการโครงสร้างพื้นฐานบางโครงการออกไป
กลยุทธ์ระยะสั้น รอซื้อ แถว 1400 +/- เพื่อลุ้น Rebound ขณะระยะกลาง-ยาว รอดูการปรับประมาณการของนักวิเคราะห์ หลังสิ้นสุดการประกาศผลดำเนินงาน Q2/58
ด้าน บล.ซีไอเอ็มบี ระบุว่า แนวรับแรกที่ 1410 จุด เป็นจุดเสี่ยงซื้อจุดแรก ที่มีโอกาสเกิดการรีบาวน์ทางเทคนิค โดยการดีดตัวกลับจะอยู่ที่บริเวณ 1424 จุด และ 1433 จุด เป็นแนวต้านที่ 2
ขณะที่ภาพรวมเรายังมองว่าจะยังแกว่งตัวลงในลักษณะซิกแซกลง สลับกับการเกิดเทคนิเคลรีบาวน์ตามแนวรับสำคัญ เนื่องจาตลาดยังขาดปัจจัยหนุนใหม่เข้ามา ระยะสั้นตลาดเปิดโอกาสให้เล่นรีบาวน์ได้ โดยจุดเสี่ยงซื้อที่น่าสนใจจะอยู่ที่ระดับ 1410 จุด ส่วนจุดซื้อที่ได้เปรียบและปลอดภัยมาก สำหรับการลงทุนระยะยาวจะอยู่ที่ระดับ 1386 จุด

**ผู้บริหาร WICE ไม่หวั่นลงสนามฝ่ากระดานเลือด
นางอารยา คงสุนทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE มั่นใจว่าหุ้น WICE ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วไป และราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือราคา IPO ที่ 2.10 บาทต่อหุ้นได้ เนื่องจากราคาไอพีโอ มีอัตราส่วนลดให้กับนักลงทุนมากถึง 44% เมื่อเทียบกับบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งมี P/E เฉลี่ยที่ 37 เท่า ขณะที่จำนวนหุ้นมีไม่มาก
บริษัทฯขายหุ้นไอพีโอทั้งหมด 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งที่ผ่านมาหลังการโรดโชว์ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วประเทศเป็นอย่างมาก โดยบริษัทฯ จะมีการจัดสรรหุ้นไอพีโอให้กับนักลงทุนอย่างทั่วถึง ซึ่งมีทั้งนักลงทุนจองหุ้นซื้อหุ้นกว่า 3,000 ราย
นอกจากนี้ มองว่า หุ้นของบริษัทฯ มีปัจจัยพื้นฐานดี ฐานะการเงินแข็งแกร่งมีหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 0.5 เท่า ธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตสูง จากแผนการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร ทั้งการนำเข้าและส่งออก โดยบริษัทสามารถให้บริการรับจัดการขนส่งทางทะเลครอบคลุมท่าเรือหลักในเขตการค้าสำคัญในประเทศต่างๆ ซึ่งตลาดหลักยังคงเป็นตลาดสหรัฐอเมริกา และ ตลาดหลักรองลงมา คือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และจีนและในอนาคตสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างแน่นอน
" แม้สภาวะตลาดในช่วงนี้ที่ค่อนข้างผันผวน บริษัทฯ มองจะไม่กระทบต่อการเข้าเทรดในวันแรก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนส่วนใหญ่จะมองหุ้นที่เป็นรายตัวมากขึ้น ประกอบกับพื้นฐานของบริษัทฯที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและเงินที่ได้จากการระดมทุนบริษัทฯ จะนำมาต่อยอดธุรกิจ อีกทั้ง WICE ยังเป็นบริษัทแรกที่ทำธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่อยู่ใน SET ทำให้มีโอกาสต่อยอดธุรกิจได้อีกมาก ทำให้มั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 20% ตามเป้าหมาย "นางอารยา กล่าว
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จำนวน 350 ล้านบาท บริษัทฯจะใช้สำหรับการซื้อรถบรรทุกหัวลาก-หางพ่วง โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท ใช้ขยายลานจอดรถบรรทุกหัวลาก-หางพ่วง ประมาณ 10 ล้านบาท พัฒนาระบบสารสนเทศ 10 ล้านบาท ลงทุนในคลังสินค้าแหลมฉบัง จ.ชลบุรี พื้นที่ 9,000 ตารางเมตร จำนวน 150 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างคลังสินค้าปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า และจะเริ่มเปิดบริการเชิงพาณิชย์ในปี 2560

** โบรกฯให้ราคาเหมาะสม 3 บ.
บล.เออีซี ให้ราคาเหมาะสมหุ้น WICE ที่ 3 บาท จากการดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร ทั้งนำเข้าและส่งออก โดยขนส่งทั้งทางทะเล ทางอากาศ และการให้บริการด้านพิธีการศุลกากร รวมถึงการขนส่งในประเทศ ซึ่งช่วง 3 ปีนี้คาดกำไรโตปีละ 23.4%
ทั้งนี้ WICE เสนอขาย IPO 150 ล้านหุ้น (Par 0.50 บาท) เพื่อนำเงินไปใช้ลงทุนในโรงงานคลังสินค้า ขยายงานขนส่งในประเทศและพัฒนาระบบ IT เพื่อรองรับการเติบโตหลังเปิด AEC

** PK คืนสังเวียน ตลท.เตือนราคาล่าสุด 0.40 บ. ไม่สะท้อนมูลค่าแท้จริง
นอกจากนี้ยังมีหุ้น PK หรือ บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) ที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2553 เนื่องจากงบการเงินประจำปีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2552 ปรากฏส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ จำนวน 1,030 ล้านบาท ต่อมา PKได้ยื่นคำขอพ้นเหตุอาจถูกเพิกถอนและขอให้เปิดซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์อนุมัติให้ PK พ้นเหตุอาจถูกเพิกถอน โดยปลดเครื่องหมาย SP (Suspension) และ NC (Non-Compliance) และให้เริ่มทำการซื้อขายหลักทรัพย์ของ PK ในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมหมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร ได้ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป
โดยกำหนดให้หลักทรัพย์ของ PK สามารถซื้อขายได้โดยไม่มีกรอบราคา (Ceiling & Floor) ในวันที่ 28 กรกฎาคม2558 เพื่อให้หลักทรัพย์ดังกล่าวสามารถซื้อขายได้ตามสภาพความเป็นจริง
ทั้งนี้ เนื่องจากในระยะที่ผ่านมา PK ได้ฟื้นฟูกิจการผ่านกระบวนการศาลล้มละลายจึงมีการปรับโครงสร้างทางการเงิน ดังนั้น ราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ที่ราคา 0.40 บาทต่อหุ้น อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ในปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์จึงขอให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลบริษัทเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

** ผู้บริหารส่งซิบ BV ล่าสุดมากกว่า 2 บ.
นายแสงชัย โชติช่วงชัชวาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) หรือ PK ราคาหุ้นของบริษัทฯที่จะกลับเข้ามาเทรดใหม่ในวันที่ 28 ก.ค.นี้ จะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับนักลงทุนว่าจะให้ความสนใจเข้ามาเทรดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งมูลค่าตามบัญชี (Book Value) ของบริษัทฯปัจจุบันอยู่ที่ 2 บาทกว่าๆ แต่มั่นใจว่าหุ้นของบริษัทฯเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี จากทำธุรกิจมานานถึง 50 ปี และเป็นที่หนึ่งในอาเซียนทางด้านเครื่องทำความเย็นและธุรกิจเครื่องทำน้ำแข็งเป็นที่หนึ่งของโลก และบริษัทฯจะไม่ทำธุรกิจที่ไม่ชำนาญอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทฯหันไปทำธุรกิจพลังงานทดแทนจนทำให้มีผลขาดทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ต้องถูกสั่งพักซื้อขายและฟื้นฟูกิจการ
สำหรับปีนี้คาดว่ารายได้จะปรับตัวลดลง 10% จากปี 2557 ที่มีรายได้ 4,139 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว กำลังซื้อลดลงและหนี้สินครัวเรือนที่สูง แต่บริษัทฯพยายามปรับตัวโดยเน้นการจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศมากขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศปีนี้จะมากกว่าปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนประมาณ 20% โดยปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) 1,700 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เกือบทั้งหมดภายในปีนี้
"แม้รายได้ปีนี้จะลดลงแต่เชื่อว่าปีนี้บริษัทฯจะมีกำไรสุทธิ แต่จะลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 229 ล้านบาท และ Net Margin ปีนี้คาดว่าจะมากกว่า 2% "

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com