April 25, 2024   4:36:35 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > "สมคิด " ยันเศรษฐกิจไทยไม่วิกฤติ
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 28/08/2015 @ 08:47:38
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

"สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" การันตี เศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤติ แต่ยอมรับมีสัญญาณอ่อนแอ วอนเอกชน-ประชาชาอย่ากังวลเกินเหตุ ลั่นรัฐบาลพร้อมเดินหน้าช่วยคนรายได้น้อย - เอสเอ็มอี เร่งลงทุนโครงการขนาดใหญ่เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น ขอเวลา 2-3 เดือน แก้ปัญหาราคาพืชผลเกษตร - กรณีประมงผิดกฎหมาย พร้อมปรับสมดุลพื้นฐานเศรษฐกิจประเทศ ลดพึ่งพาส่งออก หนุนจีดีพีในอนาคตเติบโตได้ ส่วนภาคตลาดเงิน ทุน เตรียมหารือ แบงก์ชาติ ตลท. พร้อมปฏิรูป ฟากตลาดหุ้นรับข่าวทันทีพุ่งแรงเกือบ 40 จุด โบรกฯ แนะหาจังหวะเก็บหุ้นปันผลดีเข้าพอร์ต

ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนสายเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก กับการจัดงานบรรยายพิเศษ "นโยบายเศรษฐกิจและทิศทางประเทศไทย" ของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่เข้ามาดูแลนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล มาแสดงวิสัยทัศน์ ว่ามีมุมมอง และแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงอย่างหนักในช่วงนี้อย่างไร

*** ยัน ศก.ไทยไม่วิกฤติ ชี้แค่ชะลอ - ไม่มั่นใจต่อสินค้าเกษตร
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการบรรยายพิเศษ "นโยบายเศรษฐกิจและทิศทางประเทศไทย" ยืนยันว่าในขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ใช่ภาวะวิกฤติ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินยังมีความเข้มแข็ง บริษัทในตลาดหลักทรัพย์มีผลประกอบการดี ผู้ประกอบการยังคงเดินหน้าไปได้ เมื่อเทียบกับวิกฤติปี 2540 ที่สถาบันการเงิน และไฟแนนซ์ปิดกิจการ บริษัทปิดตัวลง คนในประเทศตกงาน เป็นหนี้สินทั่วประเทศ ดังนั้นสิ่งที่คนกังวลทุกวันนี้ คือภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง เกิดจากความไม่มั่นใจต่อราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ
“ปัญหาของวันนี้ ที่เกิดจากราคาพืชผลทางเกษตรในปีที่ผ่านมา ราคาตกต่ำ เมื่อราคาตกต่ำ อำนาจซื้อของเกษตรกรย่ำแย่ คนจำนวนมหาศาล ทั้ง ข้าว ยางพารา เมื่อคนที่มีรายได้น้อย และเกษตรกรลำบาก อำนาจซื้อจริงๆ ในการหมุนเวียนเศรษฐกิจก็หายไป เมื่อหายไป เอสเอ็มอีที่ต้องทำธุรกิจกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหลายก็ลำบาก ธนาคารไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เอสเอ็มอีหาเงินได้ลำบากมากขึ้น แต่แบงก์วันนี้แข็งแรงมาก บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ดี ป้องกันตัวเองอย่างดี แต่ภายใต้ภาวะเช่นนี้ ความมั่นอกมั่นใจเสื่อมถอย ส่งผลให้เอกชนชะลอการลงทุน เพราะมองไม่แน่ชัดข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รอปีหน้าฟ้าใหม่”นายสมคิด กล่าว

*** ชี้การเติบโตต้องพึ่งพาตนเอง ยันรัฐบาลชุดนี้เป็นมิตรกับภาคธุรกิจ
นายสมคิดกล่าวต่อว่า ขณะนี้คนชั้นกลางยังมีความกังวลกับเศรษฐกิจโลก ตลาดหุ้นที่ตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจจีน ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบมาอย่างต่อเนื่องนั้น มองว่าไม่ได้เกิดจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากนักลงทุน ผู้ประกอบการเกิดความไม่มั่นใจกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง หรือเรียกว่า ซบเซา เพราะมีแต่ข่าวร้ายออกมา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหลัก โดยปัญหาหลัก คือ ความสามารถของประเทศที่ถดถอยลง สิ่งนี้ที่ทำให้ประเทศอ่อนแอ ภาคส่งออกที่ต้องการส่งออกสูงๆปีละ 60% ของจีดีพีไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เพราะ ประเทศที่อิงปัจจัยภายนอกอย่างเดียวในการเติบโต วันหนึ่งก็ต้องทรุดลง เพราะแท้ที่จริงแล้วการเติบโตนั้น เราจะต้องพึ่งพาตนเอง ตอนนี้เศรษฐกิจโลกมีปัญหา การส่งออกก็ถดถอยลงด้วย และยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้มีความตั้งใจเดินหน้าและมีความเป็นมิตรกับธุรกิจแน่นอน
“ไม่ใช่วิกฤติการณ์ เป็นแค่ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจขาดพลัง ขาดความมั่นใจ มันชะลอตัว ขณะเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานที่เรามี สร้างมาเป็นสิบปีมันยังคงอยู่ และใช้ได้พอสมควร เราจะต้องสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้น เพื่อประคองตัวเอง รองรับกับระยะข้างหน้า เป็นช่วงเวลาที่เราต้องรีบเข้าไปแก้ไขในสิ่งที่ควรจะต้องรีบแก้ และสร้างในสิ่งที่ควรจะต้องสร้าง เพื่อวางรากฐานข้างหน้า เราไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้มานาน วันนี้โอกาสมาถึง การจะต้องทำอย่างนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย”นายสมคิด กล่าว

*** เร่งช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย - เกษตรกร- เอสเอ็มอี
นายสมคิด กล่าวต่อว่า ไม่อยากให้ประชาชนกังวล ตื่นตกใจ ทุกคนเห็นปัญหาอย่างเดียวกัน ประเทศไม่ได้มีปัญหา การเมืองอาจจะมีปัญหาแต่ก็ก้าวไปสู่ทิศทางที่ดี เศรษฐกิจมีปัญหาเกิดจากความไม่มั่นใจเศรษฐกิจ อย่ากังวลจนเกินเหตุ และอย่าตั้งอยู่ในความประมาท ถ้าเราทำงานร่วมกันกับรัฐบาล เราจะเดินไปข้างหน้าได้ค่อนข้างดี ไม่มีวิกฤติการณ์ แต่เศรษฐกิจไทยส่อแววอ่อนแอ ต้องช่วยกันแก้
สำหรับสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การเข้าไปกอบกู้ช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย เกษตรกร เอสเอ็มอี ผลักดันมาตรการต่างๆที่คั่งค้างออกมา พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี มีความกังวลมากกับผู้ที่มีรายได้ต่ำมีความเดือดร้อน สั่งหลายครั้งแต่กลไกยังไม่เดิน จึงได้มอบหมายให้ รมว.คลัง สำนักงบประมาณ และอีกหลายๆท่าน ช่วยกันดูมาตรการเร่งด่วน ไปบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่มดังกล่าว และเพื่อให้เงินทุนหมุนเวียนภาครัฐกระจายไปให้เร็วที่สุด
โดยมาตรการต่างๆ ประกอบด้วย ใช้กลไกทำให้เงินทุนลงไปถึงชาวบ้านให้เร็วที่สุด โดยไม่ผ่านกลไกอื่น ช่วยให้เกิดการหมุนเวียนไม่ยืนยาว เริ่มทำสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง เรื่องแรกบรรเทาความเดือนร้อน ช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้ก้าวไปได้ ก่อนนำสู่โครงการในการพัฒนาโดยมอบหมายให้ธนาคาร นางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม เร่งหามาตรการออกมาให้เร็วที่สุด เพราะคนที่ลำบากนั้น เวลาที่ต้องรอนานมันน่าเห็นใจ คือเรื่องเร่งด่วน

*** เดินหน้าเร่งลงทุนรถไฟรางคู่ เหนือ-ใต้-อีสาน เน้นรูปแบบ PPP
ด้านการลงทุนขนาดใหญ่ นายสมคิดเปิดเผยว่า ตัวนี้ต้องการที่จะทำให้เกิดการลงทุนเพื่อให้มีโครงสร้างพื้นฐานแข่งกับประเทศข้างเคียงได้ ท่านนายกฯ ต้องการเร่งตัวนี้ โดยเฉพาะการสร้างรถไฟรางคู่ ที่ประกาศนโยบายไปแล้ว เส้นทางรถไฟเชื่อมโยงเหนือใต้ ออกตก เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เร็ว สิ่งที่จะเกิดคือ ความเจริญที่ตามมาระหว่างเส้นทาง ซึ่งอยากให้เป็นโครงการพีพีพี ร่วมกับเอกชน มีการประมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส ทุกอย่างต้องอยู่ในความพอดี
ส่วนการเร่งในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับนั้น การดำเนินการจะต้องไม่ใช่จูงรายใหญ่เข้ามาและทอดทิ้งรายเล็ก ใช้แรงงานในท้องถิ่น มันต้องมีสิ่งจูงใจหลายด้าน นำไปสู่การปฏิรูปเชิงงบประมาณ
“อะไรจะใช้เงินกู้ อะไรจะทำเอง อะไรจะเป็นการร่วมมือรัฐบาลกับเอกชน การลงทุนท้องถิ่น การลงทุนเพื่ออนาคตข้างหน้า การเครือข่าย เครือข่ายไอที ด้านมาตรการทางการคลังไม่ใช่เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ใช้คลังเพื่อสร้างอนาคต ไม่ใช่อะไรจะมากระตุ้นกันบ่อยๆทำอย่างไรให้เด็กมีอุปกรณ์ที่ราคาถูก เรื่องการศึกษา เรื่องของอนาคต อย่าให้การคลังเป็นอุปสรรค”นายสมคิด กล่าว

*** ขอเวลา 2-3 เดือน แก้ปัญหาราคาพืชผลเกษตร - กรณีประมงผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ นายสมคิด เผยถึงการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และการทำประมงผิดกฎหมาย ว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ดีในทุกด้าน โดยการแก้ไขราคาพืชไร่ หรือพืชผลทางการเกษตรนั้น จะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือน ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้ดูแลในเรื่องนี้แล้ว ษตร เชื่อว่าจะมีการดำเนินการดูแล ซึ่งได้หารือกับกระทรวงเกษตร ภาคเอกชน ยกตัวอย่าง เช่น ยางพารา ที่ภาคเอกชนต้องมีส่วนร่วมเข้ามาหาแนวทางแก้ไข
ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหาประมง หรือการทำประมงผิดกฎหมาย นั้น นายสมคิด กล่าวว่า ในเดือนกันยายนนี้ ก็จะรู้ว่าทางประเทศไทยจะได้อยู่ในระดับไหนโดยในประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ มีการหารือกันตลอดเวลา โดยขณะนี้มีการตั้งคณะเจรจา เพื่อแก้ปัญหานี้
"เดือนหน้าก็จะรู้ว่าเราจะได้ใบสีอะไร ซึ่งเราต้องเข้าใจว่า หลายเรื่อง เราต้องยอมรับว่าเราหละหลวม อ่อนแอ เราโดนเล่นงาน เราต้องใช้สิ่งเหล่านี้ เปลี่ยนแปลงและทำให้มันดี และหากสื่อความให้เขารู้ ก็จะดีกลับมาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นต้องพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เรื่องประมงเป็นเรื่องใหญ่ การเล่นงาน มูลค่าทางการเงินไม่เท่าไหร่ประมงไปอียูนั้นไม่เกิน 10,000 ล้านดอลลาร์ แต่มีผลต่อภาพลักษณ์อย่างมากมายมหาศาล" รองนายกฯ กล่าว ทั้งนี้ เบื้องต้นได้หารือส่วนตัวกับธนาคารออมสินในการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเยียวยาให้เรือประมงอยู่ได้ ซึ่งธนาคารออมสินยินดีจะทำ เพื่อให้ชาวประมงซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจทางเรือ รวมถึงหนี้นอกระบบของประมงด้วย ให้มีการเยียวยาซึ่งกันและกัน


*** จี้เพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐฯ - พลักดันตลาดทุนให้โตทันโลก
นายสมคิดเปิดเผยอีกว่า ยังมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ มีหลายอย่างที่ต้องขับเคลื่อน รัฐวิสาหกิจต้องเป็นกำลังของภาครัฐ ที่ปรึกษานายกฯ ว่าที่ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย และอีกหลายคน จะคิดเรื่องการปฏิรูปการเงิน การคลังร่วมกัน ไม่ว่าตลาดเงิน หรือตลาดทุน จึงอยากให้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์สบายใจได้ในเรื่องต่างๆ และเร่งดำเนินการในเรื่องที่ต้องทำ คือ การทำให้ตลาดทุน เติบโตและเชื่อมต่อกับโลกได้ " มาตรการเร่งด่วนดูแลให้คนที่บำบาก ที่มีรายได้น้อยเกษตรกร เอสเอ็มอี ประคองตัวเองพ้นจากช่วงเวลาลำบาก ก่อนที่มาตรการอื่นจะออกมา สองมาตรการเพื่อสางพื้นฐานอนาคตข้างหน้า ที่จะเร่งดำเนินการเลย ผมไม่เคยพูดว่าจีดีพีจะเท่านี้เท่านั้น นักข่าวก็เลิกถามได้ จีดีพีคือปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ การออกมาตรการระยะสั้นไม่ใช่เพื่อกะตุ้นจีดีพี จีดีพีอยู่ในระดับที่พอสมควร และเติบโตในระยะข้างหน้า จะพยายาม จีดีพี เป็นสิ่งที่ต้องตามมา เป็นผลไม่ใช่เหตุ" นายสมคิดกล่าว

*** สั่งรมว.อุตฯ สร้างธุรกิจใหม่ - เร่งความสามารถของเอสเอ็มอี
อีกมาตรการหนึ่งคือ การวางรากฐานให้กับประเทศ เพื่ออนาคต เราต้องใช้เวลาเท่าที่มีทำให้ได้ โดยตนจะทำไปเลย โดยร่วมกับสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. อะไรที่มาก่อนได้มา อะไรที่ต้องออกกฎหมายให้ไปที่สปช.เลย เพราะต้องเร่งดำเนินการให้เร็ว รัฐมนตรีต้องเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการผลักดันให้เดินหน้า ต้องคิดว่าจะปฏิรูปอะไรในหน่วยงานที่กำกับ เช่น คลัง นโยบายหลัก คือ การขจัดอุปสรรคที่ไม่จำเป็น เพื่อเอื้อต่อการทำงานภาคเอกชน หลายอย่างในเมืองไทยที่สร้างอุปสรรค เอกชนต้องเป็นตัวนำในการเดินหน้าทางธุรกิจ อะไรที่กระทรวงจะช่วยดำเนินการได้ เป็นการร่วมมือระหว่างกัน กระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องของการยกระดับความสามารถผู้ประกอบการ เป็นเรื่องใหญ่
นอกจากนี้ได้มอบหมายให้ รมว.อุตสาหกรรม สร้างธุรกิจใหม่ และเร่งความสามารถของเอสเอ็มอี ลักษณะอย่างนี้จะเป็นแนวทางที่เกิดขึ้น หากว่าภารกิจในการสร้างอนาคตของประเทศคืออะไร อย่างแรก ควรถึงเวลาที่เรารู้ว่า โลกกำลังเปลี่ยนไป เศรษฐกิจโลกซบเซา โดยเฉพาะสหรัฐ ส่วนอียูไม่ต้องพูดถึง จีนเริ่มส่อปัญหา แต่เขาเข้มแข็ง ทุนสำรองเยอะ สักพักจะเดินหน้าได้ แต่จะโต 8-9% ได้ คงไม่ได้เห็นจีดีพีประเทศไหนจากนี้โต 5% ประเทศที่ประสบความสำเร็จได้หลังจากนี้ คือสร้างการเติบโตที่พอกับประเทศ สิ่งที่กำลังจะเกิดในบริบทของโลก?
“การเติบโตของเราในอดีตเติบโตนำโดยการส่งออก มาตรการทางภาษี มาตรการทางบีโอไอ ทุ่มไปกับการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ เป็นเรื่องจริงที่เกิด ทุกเม็ดเงินของงบประมาท ไปตกที่นั่น ตอนนั้นส่งออกโตเร็วมาก เวลาที่มันตกผลสะท้อนคือ มูฟไปเศรษฐกิจโลก ภายในของเราไม่แข็งแรง ในไทยมีจังหวัดไหนที่เข้มแข็งเท่ากรุงเทพฯ เศรษฐกิจท้องถิ่นของเราเล็ก อ่อนแอ จริงๆไม่ควรเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาที่การเติบโตที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย ต้องมีความสมดุล ไม่ใช่แค่อิงการเติบโตจากภายนอกประเทศ แต่ต้องโตจากภายในของเรา วันนี้ภายนอกไม่ดี มันเป็นโอกาสที่เราจะชิพความสนใจในการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เศรษฐกิจในท้องถิ่น หมู่บ้าน นำเศรษฐกิจพอเพียงมานำร่อง ต้องมีศูนย์กลางในการพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัดนั้นๆ”นายสมคิด กล่าว

*** เร่งฟื้นท่องเที่ยว - ผลักดันการแข่งขันด้านสินค้า
ด้านของภาคการท่องเที่ยวจังหวัด นายสมคิดกล่าวว่า จะหารือกับนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาในการพัฒนาในเรื่องของการท่องเที่ยว บทบาทสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นหัวหอกสำคัญในการร่วมกับท่องเที่ยวจังหวัด สภาหอการค้า นโยบายการคลัง หรือ บีโอไอ สนับสนุนส่งเสริมให้มีการลงทุน ท้องถิ่น ควรมีสิ่งจูงใจ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการทำอย่างมีเป้าหมาย
อีกหนึ่งสิ่งที่ตั้งใจผลักดัน คือความสามารถในการแข่งขันด้านสินค้า หลังจาก ความสามารถของประเทศถดถอยลงมา มูลค่าการค้าตกต่ำ สินค้าขณะนี้มาตรฐานต้องแข่งขันในตลาดโลก ตั้งใจจะต้องเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน สามารถแข่งกับชาวบ้านได้อย่างภาคภูมิ การเร่งเรื่องครัชเตอร์ ไม่ใช่เอาสินค้าทุกตัวไปแข่ง แต่จะต้องมีบางตัวที่นำไปแข่งและสู่เค้าได้ และจะต้องคิดหาวิธีทำอย่างไรดึงผู้ประกอบการในประเทศ และต่างประเทศ เข้ามาผลิตในประเทศ ต้องมีเรื่องเทคโนโลยี วิชาการ สถาบันการศึกษาเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อให้ความรู้

*** จับมือมหาวิทยาลัย เร่งพัฒนานักรบทางเศรษฐกิจ
นายสมคิด กล่าวต่อว่า ยังมีเรื่องของการพัฒนานักรบทางเศรษฐกิจ มีแนวรบทางเศรษฐกิจใหม่ เรามีบริษัทเข้มแข็งเยอะ ประเทศที่เจริญได้ต้องเป็นป่าที่สมบูรณ์ ยกระดับเทคโนโลยี เป็นหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมต้องพัฒนาเทคโนโลยี ประเทศต้องอาศัยนักรบใหม่ คือ เอสเอ็มอี สร้างเอสเอ็มอีเริ่มต้น ที่มีพื้นฐานจากสิ่งที่เรามีจากประเทศเรา พื้นฐานจากเทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้ควรจะเกิดขึ้น การที่เขาจะเกิดขึ้นนั้น มันต้องช่วยเขา คือต้องร่วมมือกับมหาวิทยาลัย สร้างฟิวส์ใหม่ๆให้เกิดขึ้น เมืองไทยต้องมีผู้ประกอบการใหม่ แต่พบว่ากฎระเบียบไม่เอื้อ สิ่งเหล่านี้จะต้องดีขึ้น ไม่เพียงสถาบันการศึกษา กระทรวงพาณิชย์ กรมพัฒนาธุรกิจต้องเข้าไปแก้ไข เปลี่ยน ต้องสอดส่องหาธุรกิจใหม่ๆขึ้นมา สิ่งที่มอบหมายขึ้นมาต้องค้าขายกับโลก เป็นพอร์ตใหญ่ อีคอมเมอร์ส ช่วยสร้างแบรนด์เอาบริษัทเอกชนขนาดใหญ่มาช่วยเสริมผู้ประกอบการใหม่และเอสเอ็มอี นอกจากนี้เอสเอ็มอีต้องการความรู้ และเงินทุนหมุนเวียน หาแมชชิ่งให้ได้

*** เอกชนมั่นใจรัฐบาลเดินถูกทาง หลังเน้นกระตุ้นการบริโภคในประเทศเป็นหลัก
นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า หลังจากที่รับฟังนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีแล้วนั้น พบว่า ภาคเอกชนมีความมั่นใจต่อการดำเนินการของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ว่าจะสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ถึงแม้ว่าการส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกยังคงติดลบมาอย่างต่อเนื่อง แต่แนวทางในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลจะมุ่งเน้นการกระจายและหารายได้ให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย จึงเชื่อว่าจะช่วยทดแทนการส่งออกที่หายไปได้ ดังนั้นการชะลอตัวของการส่งออกจึงไม่น่าเป็นห่วง แม้ว่าการส่งออกในขณะนี้จะถือเป็นปัญหาที่แก้ไขลำบากก็ตาม
ทั้งนี้ อยากเห็นรัฐบาลทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนอย่างมีบูรณาการมากขึ้น โดยสภาอุตสาหกรรมมีความพร้อมที่จะทำงานร่วมกันกับรัฐบาลอยู่แล้ว และจะไม่ตั้งกรอบเวลาในการทำงานรัฐบาล อย่างไรก็ตามในเดือนหน้า ส.อ.ท.จะร่วมกับกกร.ในการปรับการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในปีนี้ใหม่ จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3%
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เชื่อว่าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ จะช่วยเดินหน้าเศรษฐกิจได้ ในขณะที่ภาคเอกชนมีความพร้อมในการร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างเต็มที่ แต่รัฐบาลจะต้องช่วยปลดล็อค กฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะกฎหมายการนำเข้า และส่งออก การขอใบอนุญาตต่างๆในการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดอุปสรรคที่เป็นปัญหาในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน
นอกจากนี้ หอการค้ายืนยัน มีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น เนื่องจากหอการค้ามีการจัดทำยุทธศาสตร์ภาค 2020 ที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการพัฒนาท้องถิ่น ของหอการค้าจังหวัด 18 กลุ่มเป็นประจำทุก 3-6 เดือนอยู่แล้ว จึงสามารถนำข้อเสนอเหล่านี้เสนอเป็นแนวทางในการพัฒนาท้องถิ่นให้กับรัฐบาลได้

*** ตลาดหุ้นบวกรับแผนศก.ใหม่ โบรกฯ เชื่อวันนี้พุ่งต่อ
นายยศพล แสงนิล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นวานนี้ ปรับตัวขึ้นโดดเด่นโดยปิดที่ระดับ 1,358.03 จุด เพิ่มขึ้น 37.95 จุด หรือ 2.87 % ส่วนหนึ่งรับปัจจัยบวก ภายในประเทศคือ ประเด็นที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ อย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์อย่างชัดเจนอานิสงส์จากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ากองทุนหมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือคนที่มีรายได้ต่ำ ได้แก่ CPALL-KBANK-SAWAD ส่วนในระยะยาาวคือกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจากโครงการเมกะโปรเจกต์ที่คาดว่าในเดือนหน้าจะมีการประมูล รถไฟรางคู่เกิดขึ้นและต่อมาคือถนนมอเตอร์เวย์ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นพรุ่งนี้ คาดว่า ดัชนีปรับตัวบวกต่อ โดยดัชนีผ่านแนวต้านสำคัญไปได้แล้วที่ 1,350จุด ประเมินแนวต้านถัดไปที่ 1,370จุด ได้แรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศให้กลับเข้ามาซื้อสุทธิมากขึ้น รวมถึงแนวโน้มเฟดที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือน ก.ย.58นี้ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยต่อได้ เช่นเดียวกับมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้งในระยะยาว
โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำการลงทุนช่วงนี้คือเมื่อดัชนีปรับตัวลงสู่แนวรับที่ 1,330ให้ทยอยสะสมหุ้นเพื่อรอขายที่แนวต้านบริเวณ 1,360-1,370จุด เน้นหุ้นที่ให้อัตราปันผลสูงและหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หุ้นเด่น ADVANCราคาเป้าหมาย270บาท,TVOราคาเป้าหมาย33.70บาท,IRPCราคาเป้าหมาย6.50บาท,CKราคาเป้า

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com