April 26, 2024   4:50:53 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เปิดโผหุ้นเด็ดพิชิต SET ผันผวน
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 26/05/2016 @ 08:27:16
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

วงการแนะหาที่หลบภัยช่วงตลาดหุ้นผันผวน ไร้ปัจจัยบวกใหม่ หลังจบประกาศงบ Q1/59 แถมเฟด อาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น-ฟันโฟล์วแผ่ว แนะนำเข้าหุ้น Defensive ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องปัจจัย 4 ทั้งกลุ่มโรงพยาบาล อาหาร และสาธารณูปโภค ชู LPH-BDMS-TU-CPALL เด่นสุด ขณะที่เทรนด์บาทอ่อนเหมาะตุนหุ้นส่งออก KCE -DELTA-CPF เหตุกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออกในไตรมาส 2 และกำไรจะสูงสุดในไตรมาส 3


*** ตลาดผันผวน แนะหลบเข้าหุ้น Defensive
บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆ หลังจากผ่านพ้นช่วงประกาศงบ 1Q59 ไป ขณะที่ปัจจัยกดดันยังคงมีอยู่ ทั้งจากกระแส Fund Flow ที่ดูแผ่วเบาลงไป และยังมีปัจจัยกดดันภายนอก จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน และกระแสการขึ้นดอกเบี้ย Fed ในเดือน มิ.ย. จึงทำให้ตลาดหุ้นโลก รวมทั้ง SET Index ในช่วงนี้ยังคง Sideway ท่ามกลางภาวะผันผวนเช่นนี้ ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำเลือกหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 หรือการบริโภคในชีวิตประจำวัน อาทิ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มอาหาร รวมทั้งกลุ่มสาธารณูปโภค (โรงไฟฟ้า-ผลิตประปา)
?ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ TU (FV@B25) เนื่องจากสถานการณ์ประมงผิดกฎหมายจากสหภาพยุโรปมีความชัดเจนในทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จากการเปิดเผยของภาครัฐอย่างไม่เป็นทางการว่าประมงไทยจะรอดใบแดง แต่คาดจะคงสถานะใบเหลืองต่ออีก 6 เดือน ถือเป็นบวกต่อราคาหุ้นที่ถูกกดดันมาตลอดในช่วงก่อนหน้า ทั้งยังให้น้ำหนักบวกกับพื้นฐานต่อไป
โดยคาดกำไรจากการดำเนินงานปี 2559-60 จะเติบโตถึง 21.9% yoy และ 8.6% yoy ตามลำดับ จากธุรกิจแบรนด์ในยุโรปและสหรัฐฯ ที่เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารต้นทุนของกลุ่มบริษัทฯ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจากการขยายตลาดใหม่ๆ ไปที่ตะวันออกกลาง อาเซียนและจีนมากขึ้น

*** ค่าเงินเอเชียอ่อนค่า สะสมหุ้นส่งออกที่กำไรโดดเด่น KCE, TU
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ค่าเงินในเอเชียมีแนวโน้มอ่อนค่า สวนทางกับเงินดอลลาร์ดังกล่าวข้างต้น โดยพบว่าค่า เงินบาท ล่าสุด อยู่ที่ 35.74 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าราว 2.49% จากจุดที่แข็งค่าสุดเมื่อ 3 เดือน พ.ค. 2559 เช่นเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค กล่าวคือ ริงกิต อ่อนค่า 5.48% จากจุดแข็งค่าสุดเมื่อ 21 เม.ย. 2559 ตามมาด้วย เงินรูเปียะห์ อ่อนค่า 3.9% จาก 21 เม.ย. 2259 ยกเว้นเงินเปโซที่อ่อนค่าน้อยสุด เพียง 1.23% ในช่วงเวลาเดียวกัน เนื่องจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในระยะสั้น ๆ
ในภาวะที่ค่าเงินอ่อนค่าจึงน่าจะเป็นโอกาสสะสมหุ้นส่งออกที่มีแนวโน้มการทำกำไรสดใส โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มอาหาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออกในงวดไตรมาส 2 และจะกำไรสูงสุดในไตรมาสที่ 3
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ ASPS ชื่นชอบหุ้นชิ้นส่วนมากสุดคือ KCE (FV@B100) ด้วยจุดเด่นที่เน้นผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ บริษัทมีความพร้อมในการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิตได้ตลอดเวลา คาดว่าในงวด 2Q59 จะสามารถทำกำไรสูงกว่าไตรมาสแรกของปีนี้ที่กำไรได้ 751 ล้านบาท และน่าจะทำกำไรในงวด 3Q59 สูงกว่างวด 2Q59 โดยรวมในปี 2559 น่าจะทำกำไรสุทธิได้ 3.1 พันล้านบาท หรือเติบโตราว 39% เทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิก่อนรายได้การพิเศษ เติบโตถึง 22%
หุ้นถัดมาคือ TU (FV@B25) คาดว่างวด 2Q59 จะทำกำไรได้ดีกว่างวด 1Q59 เนื่องจากเข้าฤดูกาลส่งออกกุ้ง ซึ่งมีผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก ทำให้สามารถเร่งการส่งออกได้ต่อเนื่องและน่าจะทำสถิติสูงสุดในงวด 3Q59 โดยรวมจะทำให้กำไรสุทธิในปี 2559 เท่ากับ 6.7 พันล้านบาท เติบโต 22% เทียบกับปี 2558 เติบโตเพียง 15%

*** ดีบีเอสฯ แนะ DELTA ได้ดีช่วงบาทอ่อน
นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ที่มีความผันผวนเป็นอย่างมากในขณะนี้ โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากธนาคารกลางสหรัฐที่มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ย เกิดกระแสการโยกย้ายเงินทุนออกจากตลาดเกิดใหม่มากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง
ในภาวะเงินบาทอ่อนค่า แนะนำหุ้น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ซึ่งได้รับผลประโยชน์ในด้านการส่งออกสินค้าจากการอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้บริษัทฯมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) สูงขึ้น
ประกอบกับประเมินว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงไปมาก จากการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/59 ออกมาไม่น่าพอใจนัก แต่ราคาสะท้อนพื้นฐานแล้ว เมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันที่ราคาปรับสูงขึ้นไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี มองว่าการลดลงของกำไรสุทธิในไตรมาส 1/59 เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งอุตสาหกรรมดังกล่าวยังเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศอยู่มาก คาดว่าจะเป็นผลดีต่อบริษัทฯในระยะยาว
ทั้งนี้ มองว่าผลประกอบการของ DELTA จะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ให้ราคาพื้นฐาน DELTA ที่ 80 บาท

*** แนะเก็บ CPF- CPALL ราคาต่ำกว่ามูลคาทางพื้นฐาน
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด เปิดเผยว่า ในภาวะที่ตลาดมีปัจจัยกดดันจากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง เรามองเป็นโอกาสดีของหุ้นที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
แนะนำ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เนื่องจาก ค่าเงินบาทที่อ่อนลงในปัจจุบันทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ มองว่าปัญหาโรคกุ้งตายด่วน (EMS) ได้คลี่คลายลงแล้ว ส่งผลบวกต่อการผลิตและส่งออกกุ้งแช่แข็งของบริษัท ประกอบกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาเกินมูลค่าพื้นฐานทำให้หุ้นน่าสนใจจากปัจจัยข้างต้นประเมินแน้วโน้ม CPF ฟื้นตัวต่อเนื่อง ให้ราคาพื้นฐานที่ 35 บาท
ด้านนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในภาวะตลาดผันผวนในปัจจุบัน มองว่า บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL น่าสนใจ เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 1/59 ที่ประกาศออกมามีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้เศรษฐกิจของประเทศไทยยังหดตัว ทั้งนี้ มองว่าราคาหุ้น CPALL ที่ปรับลดลงจากกรณีธรรมภิบาลของผู้บริหารในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานอยู่มาก ทำให้เป็นหุ้นที่น่าสนใจ

*** ส่งออก เม.ย.ติดลบ 8% รับทั้งปีโตไม่ถึง 5%
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2559 กลับมาหดตัว 8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามกระแสการค้าโลกที่ยังมีความเปราะบาง เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกยังไม่มีความชัดเจน ประกอบกับปัจจัยด้านราคาสินค้าเกษตรและน้ำมันที่หดตัวสูงที่เป็นแรงกดดันให้มูลค่าขยายตัวต่ำกว่าปริมาณส่งออกที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ประเทศคู่ค้าหลายประเทศชะลอการนำเข้าลง และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกเชิงลบที่ส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การส่งออกปีนี้คงไม่ขยายตัว 5% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่เชื่อว่าจะมีโอกาสโตได้ 2-3% ซึ่งหากจะให้เป็นไปตามนี้ มูลค่าการส่งออกในช่วง 8 เดือนที่เหลือของปี (พ.ค.-ธ.ค.59) จะต้องทำได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 18,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
" 5% คงจะไม่ได้เห็น แต่เราก็จะมุ่งมั่นที่จะทำต่อไป แต่โอกาสที่สถานการณ์จะเลวร้ายกว่าปีก่อนเชื่อว่าไม่มีแน่นอน แต่จะขยายตัวได้มากน้อยเท่าไรนั้นก็ต้องดูอีกที" รมช.พาณิชย์ กล่าว


 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com