April 19, 2024   9:03:57 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ฟันด์โฟลว์หนุน SET Indexนิวไฮในรอบปี
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 21/07/2016 @ 08:27:40
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการวันแรก หลังหยุดติดต่อกันหลายวัน ดันดัชนีทะลุ 1,500 จุด ก่อนทำนิวไฮในรอบกว่า 1 ปี ปิดตลาดที่ 1,510.03 จุด เพิ่มขึ้น 18.03 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 63,674.67 ล้านบาท จากแรงซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติที่มีแรงซื้อสุทธิ 5,049.36 ล้านบาท ยังคงเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มแบงก์-สื่อสาร โดยพบว่า ต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิ 7 วันต่อเนื่องแล้ว ขณะที่โบรกฯมองตลาดไร้ปัจจัยลบ และนักลงทุนยุโรป หันมาลงทุนตลาดหุ้นเกิดใหม่มากขึ้น เพื่อลดความผันผวนจากเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม มองดัชนีระยะสั้นที่ 1,520-1,530 จุด และลุ้นแตะ 1,600 จุดในสิ้นปีนี้ แต่แนะให้ติดตามปัจจัยในและต่างประเทศ โดยเฉพาะแรงเทขายหลังสิ้นสุดประกาศงบแบงก์ไตรมาส 2/59

*** fund flow ไหลเข้าต่อเนื่อง ดันSET ทะลุ 1,500 จุด
แรงซื้อของต่างชาติสุทธิในวันนี้ที่มีเข้ามากว่า 5,049.36 ล้านบาท ดันดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทะลุ 1,500 จุด และ ทำนิวไฮในรอบ 1 ปี นับจาก ปิดตลาดเมื่อ 30 มิ.ย. 58 ที่ 1,504.55 จุด โดยตลาดปิดทำการช่วงเช้าที่ระดับ 1,506.33 จุด เพิ่มขึ้น 14.33 จุด หรือ 0.96% มีมูลค่าการซื้อขาย29,590.14 ล้านบาท ก่อนจะยังมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่องในช่วงบ่าย ดันดัชนีปิดตลาดที่ 1,510.03 จุด เพิ่มขึ้น 18.03 จุด คิดเป็น 1.21% มุลค่าการซื้อขาย มีมูลค่าการซื้อขาย 63,674.67 ล้านบาท
บล.ฟิลลิป ประเมิน ดัชนีทะลุ 1500 จุด จากแรงซื้อหุ้นในกลุ่ม Big Cap คาดดัชนียังสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจากการเข้ามาของ Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมาจากแรงเก็งกำไรผลประกอบการและเงินปันผล เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูง
อีกทั้งยังมีภาวะ Search For Yield โดยพอร์ตระยะสั้น เน้นเก็งกำไรหุ้นรายตัวน จำกัดพอร์ตหุ้นไม่เกิน 60% และคงสถานะถือ AOT, PTTGC, ERW, SCN, CMR, MAJOR และ BCH

***หวัง fund flow ดัน SET ระยะสั้น สู่แนวต้าน 1,520-1,530 จุด
บล.ธนชาต มองดัชนีหุ้นไทย ยังปรับสูงขึ้นต่อไปที่ 1,520 จุด ส่วนแนวรับที่ 1,490 จุด โดยแนวต้านระยะกลางที่ 1,590 จุด จากปัจจัยสภาพคล่องที่สูงในตลาดเงินตลาดทุนโลก ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 ของสถาบันการเงินที่ออกมาดีกว่าคาด และโอกาสที่การทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ วันที่ 7 ส.ค.นี้จะผ่านไปได้ หนุน SET ปรับสูงขึ้นต่อ โดยถ้าพิจารณาจากมุมมองทางเทคนิคมีแนวต้านใหญ่ตั้งแต่ปี 2013-2016 ที่ 1,590-1,600 จุด แนะนำ "ซื้อ" ADVANC, INTUCH, SCC, CK ที่เป็นเป้าหมายการไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างชาติ รวมไปถึงหุ้นที่คาดการณ์กำไรออกมาดี อย่าง CPF, IRPC,SGP, และ KKP
ขณะที่แนะ "ซื้อ" QH จากราคาหุ้นยังต่ำกว่า NAV ที่ 3.20 บาท ด้วยเป้าหมายพื้นฐานที่ 3.0 บาท ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ราคาหุ้นต่ำกว่า NAV ที่ถืออยู่ในหุ้น LHBANK, HMPRO, QHPF, QHHR ที่ 3.20 บาทมาก หรือเหมือนกับซื้อ QH โดยได้ธุรกิจอสังหาฯ แบบไม่มีต้นทุน 2) แม้ไม่คาดหวังผลการดำเนินงานจะโดดเด่นในปีนี้ หรือมีการเติบโตแค่ 6% แต่ PE ปัจจุบันที่ 8.6x ยังต่ำ และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.2% 3) เศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัว และดอกเบี้ยต่ำเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มอสังหาฯ โดยรวม และ 4) ความชัดเจนของภาษีที่ดิน เป็นการปลดล็อกความกังวลต่อกลุ่มอสังหาฯ สำหรับทางเทคนิคมีเป้าหมายการปรับสูงขึ้นระยะสั้นที่ 2.78 (เป็น High ในเดือน มิ.ย.) และ 2.86 บาท
ด้านนายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST กล่าวว่า กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันดัชนีหุ้นไทยให้ปรับตัวเหนือ 1,500 จุด ได้ โดยลักษณะการเข้าซื้อส่วนใหญ่เน้นเป็นหุ้นรายตัว เช่น PTT ,ADVANC ,AOT และธนาคารบางแห่ง รวมถึงหุ้นที่อ้างอิงเศรษฐกิจในประเทศเท่านั้น ซึ่งการปรับตัวของดัชนีแทบไม่ได้หยุดพักในช่วงที่ผ่านมา และในช่วงวันปิดทำการที่ผ่านมามีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างหนาแน่น
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามสัปดาน์นี้คือยอดขายรถในประเทศ ถ้าหากปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจะส่งผลดีต่อบริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์มากพอสมควร ส่วนการประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) คาดว่าคงไม่มีปัจจัยพิเศษ ขณะที่สัปดาห์หน้าประเมินว่าดัชนีจะชะลอความร้อนแรงลงก่อนการประชุม FED และ BOJ
ในระยะสั้นประเมินว่าดัชนีมีโอกาสขึ้นไปถึงแนวต้าน 1,520 จุด และแนวรับชั่วคราวปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1,500 จุด โดยแนะนำนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วในเน้นถือครองสร้างกำไรอีกระยะหนึ่ง ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นให้เน้นหุ้นรายตัว โดยให้ Top Pick คือ PTTEP และ ADVANC ซึ่งเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ
นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS มองว่า นักลงทุนให้ความสำคัญการประชามติร่างรัฐธรรมนูญวันที่ 7 ส.ค.นี้ ที่จะหนุนดัชนีแกว่งตัวทดสอบ 1,530 จุด พร้อมแนะนำลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยรองรับ ในช่วงไตรมาส 3/2559 เช่น ปัจจัยบวกการประมูลงานหรือการเริ่ม CoD โครงการสำคัญ ของ UHV และIRPC รวมทั้งโครงการพลังงานลมของ EA และ GUNGUL
ทั้งนี้นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตการลงทุนในไตรมาส 3/59 ซึ้งแบ่งเป็นการลงทุนระยะสั้น และการลงทุนระยะกลาง โดยเลือกอุตสาหกรรมเด่นๆของแต่ละเซ็คเตอร์ เช่น กลุ่มสายการบิน , พลังงานทดแทน , กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ , กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แลกลุ่มเครื่องดื่ม ส่วนการลงทุนในระยะยาวนั้น ควรพิจารณาจากส่วนต่างของราคาเป้าหมายว่ายังมีอยู่สูงหรือไม่ โดยหุ้นแนะนำ คือ EA และ BA และหุ้นเด่นที่นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจ ได้แก่ EA , BA , KTC , IRPC , LPH , ILINK , AP , VNG , EPGและ CBG

*** เตือนระวังแรงเทขาย หลังสิ้นสุดประกาศงบไตรมาส 2/59 กลุ่มแบงก์
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นเหนือ 1,500 จุด เนื่องจากตลาดไม่มีปัจจัยลบกดดัน และกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหนุนหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่มาจากยุโรปที่นักลงทุนเริ่มมองหาตลาดหุ้นเกิดใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเงินทุนต่างชาติยังคงไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร ถึงแม้ว่าผลประกอบการของกลุ่มดังกล่าวจะออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่ต่างชาติประเมินว่าเป็นหุ้น Laggard พื้นฐานดี และ มีการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องระมัดระวังการซื้อขายอย่างมาก เพราะตลาดจะเริ่มเข้าสู่ภาวะ Over Bought และภายหลังสิ้นสุดการประกาศงบกลุ่มธนาคารไตรมาส 2 ตลาดจะเริ่มเผชิญแรงขายกลุ่มธนาคารออกมาเป็นระยะ รวมถึงในสัปดาห์หน้าอาจมีความผันผวนจากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)ด้วย
สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ฝ่ายวิจัยยังแนะนำให้หลีกเลี่ยง หรือ รอให้ย่อตัวกว่านี้ ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดกลางและเล็กยังทำผลงานได้ดีกว่า โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อเริ่มฟื้นตัว ในขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่ยังเจอปัญหาหนี้ที่มิก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากสินเชื่อเอสเอ็มอี
ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และ จะลากยาวไปไตรมาส 3-4/59 พร้อมแนะนำนักลงทุนรอจับตาปัจจัยภายนอกอย่างใกล้ชิด โดยให้กรอบดัชนีแนวรับ 1,480 จุด และแนวต้าน 1,520 จุด ส่วนหุ้น Top Pick คือ ADVANC เพราะปันผลสูง
"ผลประกอบการแบงก์ไตรมาส 2/59 ที่ออกมาช่วงนี้จะเห็นว่าหากเทียบกับไตรมาส 1/59 เพิ่มขึ้นจากการตั้งสำรองที่ลดลง แต่หากเทียบกับไตรมาส 2/58 กำไรจะลดลง เพราะตั้งสำรองมากขึ้น ตาม NPL ที่ยังเพิ่มขึ้นอยางต่อเนื่อง"นายธนเดช กล่าว

***กองทุนฯ ลุ้น SET แตะ 1,600 จุด ในสิ้นปี หวังทำผลตอบแทนดีต่อเนื่อง
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ทาลิส จำกัด ประเมินสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 59 ว่า ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มเติบโตที่ ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับนักลงทุนมองหาสินทรัพย์เพื่อลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนสูง จึงคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ กระแสเงินทุนยังไหลเข้าตลาดหุ้นและกองทุนรวมประเภทที่ลงทุนในหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งจะมีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ดังนั้นในช่วงครึ่งหลังของปีมีโอกาสเห็นดัชนีหุ้นไทยแตะระดับ 1,500-1,600 จุด และปี 60 มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไป ทะลุระดับ 1,700-1,800 จุดได้
ทั้งนี้ ในส่วนการดำเนินงาน Private Fund ภายใต้การบริหารของบริษัท มีการบริหารเงินลงทุนของลูกค้าจนได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ ตั้งแต่เดือน มี.ค.59 มีผลการดำเนินงานเฉลี่ยรวมประมาณ 17-18% ส่วนกองทุนของลูกค้าที่ลงทุนตั้งแต่เดือน เม.ย. 59 มีผลการดำเนินงานเฉลี่ยโดยรวม ประมาณ 14% ขณะที่ SET TRI ในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ประมาณ 4%
“Private Fund ที่บริหารอยู่ในปัจจุบันจะโฟกัสเฉพาะตลาดหุ้นไทย โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าเศรษฐกิจซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็ก ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม”

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com