April 18, 2024   3:35:15 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > SETพักฐาน-สัปดาห์หน้าลุ้นวินโดว์ฯ
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 21/09/2016 @ 08:31:35
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index ร่วงวันเดียวกว่า 25 จุด ก่อนรู้ผลประชุมเฟด 21 ก.ย. นี้ บล.บัวหลวง คาดสัปดาห์นี้มีแนวรับ 1,460 จุด ส่วนปลายเดือนจับตา Window dressing จากกองทุนที่ขายไปก่อนหน้ามีเงินหน้าตักเพียบ ให้แนวต้านเดือน ก.ย. ที่ 1,510 จุด ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะรอหาจังหวะซื้อ ระยะไกลยังมอง 1,650 จุด ชี้หุ้นแบงก์น่าเก็บ พบพื้นฐานแข็งแกร่ง นำโดย SCB-KBANK-TISCO-KKP-TCAP

ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (20 ก.ย.59) ระหว่างการซื้อขายปรับตัวลดลงลึกสุดถึง 1,467 จุด ลดลงกว่า 25 จุด หรือ -1.68% โดยเป็นการลดลงครั้งแรกหลัง 5 วันทำการที่ผ่านมารีบาวน์บวกได้ต่อเนื่อง ขณะที่การซื้อขายรายกลุ่มวานนี้นักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิ 1,775.85 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1,515.14 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,597.03 ล้านบาท และบัญชี บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,693.96 ล้านบาท

**บล.บัวหลวง คาดสัปดาห์นี้แนวรับ 1,460 จุด ปลายเดือนจับตา Window dressing
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า สัปดาห์นี้ คาดแนวรับอยู่ที่ 1,460 จุด และ เป็นจุด Stop loss สำหรับนักเล่นสั้น แนวต้าน 1,490 จุด เก็งผลการประชุมเฟด 21 กย. จากคาดไม่ขึ้นดอกเบี้ย และส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธค. ซึ่งจะไม่สร้างความประหลาดใจเชิงลบต่อตลาด
ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น มีโอกาสสร้างเซอร์ไพร์ส ทั้งลดดอกเบี้ย และเพิ่ม QQE โดยรอบนี้ BOJ จะออกรายงาน Comprehensive assessment เพื่อออกมาตรการเพิ่มหลังจากมาตรการที่ผ่านมาไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้า
ปัจจัยหนุนที่รออยู่ สิ้นไตรมาส 3 คาดมี Window dressing จากกองทุนที่ขายไปก่อนหน้ามีเงินรอซื้อเพียบ และ ช่วงนี้ถึงปลายเดือนมีกองทุนเปิดออกขายจำนวนมาก
สำหรับรายเดือนก.ย. คาดแนวรับ 1,430/1,380 จุด แนวต้าน 1,510 จุด
กลยุทธ์แนะนำ อ่อนตัวซื้อ สะสมหุ้นที่กำไรผ่านจุดต่ำสุดใน 2Q16 และ กำไรจะเร่งตัวขึ้นใน 2H16

**บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะรอหาจังหวะซื้อ ระยะไกลยังมอง 1,650 จุด
บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า SET มีโอกาสปรับพักตัวลง แต่กรอบลบไม่ลึกมาก และสุดท้ายยังลุ้นขึ้นหาเป้า 1650 จุดอยู่ ดังนั้นถ้าเทรดดิ้งสามารถทำกำไรก่อนได้ เพื่อรอซื้อใหม่ช่วงปรับลง
ขณะที่ภาพรวมการลงทุนยังต้องติดตามผลประชุมเฟดในวันนี้ (21 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศเริ่มมียอดขายสุทธิออกมาให้เห็นบ้าง หลังการทำ Rebalance เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน รวมทั้งในช่วงสัปดาห์เศษที่ผ่านมาดัชนีก็สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาจากจุดต่ำถึงเกือบ 100 จุด

**ลุ้นพรุ่งนี้หุ้นไทยต้องยืนเหนือ 1,470 จุด ให้ได้ ระบุถ้าไต่ไม่ถึง "ตัวใคร-ตัวมัน"
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ธนชาต เปิดเผยว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (20 ก.ย.) เผชิญแรงขายหนักมองว่าเป็นแรงขายทำกำไรปกติ หลังดัชนีฯ บวกติดต่อกัน 5 วันทำการราว 80 จุด จนเข้าใกล้แนวต้าน 1,480-1,500 จุด
สำหรับพรุ่งนี้ ลุ้นหุ้นไทยยืนเหนือ 1,470 จุดให้ได้ เพราะหากหลุดมีโอกาสลงไปทดสอบแนวรับ 1,440 และ 1,410 จุด ตามลำดับ แต่หากยืนได้ มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,470-1,500 จุด ส่วนกระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ เมื่ออิงตลาดหุ้นเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่เริ่มชะลอตัว จึงคาดเดาได้ยากถึงแนวโน้มเม็ดเงินรอบใหม่ที่จะเข้ามา
ด้านกลยุทธ์ ตราบใดที่ดัชนีฯ ไม่หลุดแนวรับ 1,470 จุด สามารถเก็งกำไรได้ แต่หากหลุด ควรชะลอการลงทุน โดยประเมินแนวด้าน 1,500 จุด
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโส บล.อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้คาดว่ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้ โดยมองกรอบที่ 1,460 จุด แนวต้นที่ 1,483 จุด โดยหากเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยเชื่อว่าจะมีแรงซื้อกลับมาทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับที่ระดับ 1,500 จุด ได้ สำหรับกลยุทธ์การลงทุน หากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 1,500 จุด แนะนำให้ขายทำกำไรออกไปก่อน จากยังไม่มีปัจจัยบวกมากหนุน
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากเฟด คงดอกเบี้ยในเดือนนี้ แต่มีความชัดเจนในการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ คาดว่าจะทำให้ 2-3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกมาเพิ่มขึ้น
นายเกียรติก้อง เดโช หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ บล. ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากที่ตลาดหุ้นมีการปรับฐานแล้ว แต่คาดว่าจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นไม่แรง เพราะ ตลาดตอบรับข่าวมานานแล้วว่าเฟดจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้

**ชี้เก็บหุ้นแบงก์น่าเก็บหลังพบพื้นฐานยังแข็งแกร่ง
นาย ธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า
จากรายการย่อแสดงสินทรัพย์ และ หนี้สิน (ธ.พ. 1.1) ประจำเดือนส.ค. 59 พบว่า สินเชื่อธนาคาร 5 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงศรี BAY สินเชื่อในเดือนส.ค. 59 อยู่ที่ 1.24 แสนล้านล้านบาท ธนาคารเกียรตินาคิน KKP สินเชื่อในเดือนส.ค. 59 อยู่ที่ 1.07 แสนล้านบาท ธนาคารธนชาต TBANK สินเชื่อในเดือนส.ค. 59 อยู่ที่ 6.57 แสนล้านบาท ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ LHBANK สินเชื่อในเดือนส.ค. 59 อยู่ที่ 1.35 แสนล้านบาท และ ธนาคารทิสโก้ TISCO สินเชื่อในเดือนส.ค. อยู่ที่ 2.21 แสนล้านบาท ลดลง 0.6% จากเดือนก่อนหน้า และ 4.8% ตั้งแต่สิ้นปี 58 ทั้งนี้ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และ เอสเอ็มอีลดลง 1.2% จากเดือนก่อนหน้า และ 0.4% จากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม สินเชื่อผู้บริโภค และ สินเชื่อบรรษัทเติบโต 1.2% จากเดือนก่อนหน้า และ 0.6% จากเดือนก่อนหน้า
"โดยรวมคาดสินเชื่อจะทรงตัว หลังเห็นธนาคารขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่รายงานออกมา แต่คาดว่าธนาคารขนาดใหญ่ก็คงไม่หนีกัน ซึ่งยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน แต่เชื่อว่าในไตรมาส 4/59 สินเชื่อจะกลับมาจากการส่งออก การใช้จ่ายภาครัฐ การท่องเที่ยวที่ดีขึ้น และ ถือว่าเป็นไฮซีซั่นของกลุ่มแบงก์"
สำหรับหุ้นของกลุ่มธนาคารพบว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นร่วงหนักในวันนี้เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากราคายังถูก และ พื้นฐานยังแข็งแกร่ง โดยแนะนำ "ซื้อ" เช่น "SCB" ให้ราคาเป้าหมาย 187 บาท/หุ้น,"KBANK" ให้ราคาเป้าหมาย 217 บาท/หุ้น,"TISCO" ให้ราคาเป้าหมาย 59 บาท/หุ้น,"KKP" ให้ราคาเป้าหมาย 58 บาท/หุ้น และ "TCAP" ให้ราคาเป้าหมาย 47 บาท/หุ้น
อย่างไรก็ตาม ภาพใหญ่ในตอนนี้ตลาดกังวลเรื่องผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ซึ่งส่วนใหญ่ตลาดคาดเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ย แต่สิ่งที่ตลาดกังวล คือ การส่งสัญญาณของเฟดว่าจะระวังการขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ โดยหากมีการส่งสัญญาณว่าขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้กระแสเงินทุนไหลกลับไปสหรัฐ ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่น และ เกิดแรงเทขายทำกำไรออกมา
"หุ้นแบงก์ยังซื้อได้ โดยรอให้ทราบผลเฟด และ การส่งสัญญาณที่ชัดเจน ซึ่งคงรอให้อ่อนตัวก่อนค่อยเข้าซื้อ โดยพื้นฐานกลุ่มแบงก์ค่อยๆปรับตัวดีขึ้น ตัว NPL ยังถือว่าขาขึ้นอยู่ แต่ขึ้นในอัตราที่ช้าลง และ กำไรปีนี้ยังไม่โดดเด่น โดยปีนี้คาดกำไรเติบโต 3% มาอยู่ที่ 1.8 แสนล้านบาท จากปี 58 ลดลง 10% มาอยู่ที่ 1.72 แสนล้านบาท และ ปี 60 คาดกำไรเติบโต 9% มาอยู่ที่ 1.93 แสนล้านบาท"




 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com