April 20, 2024   3:43:58 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > จัดพอร์ตหุ้นเด่นครึ่งปีหลัง
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 22/09/2016 @ 08:46:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

วงการแนะเก็บหุ้นน้ำดีเข้าพอร์ตครึ่งปีหลัง เลือกกลุ่มที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น-ปันผลเด่น ทั้งโรงพยาบาล-ท่องเที่ยว-ประกันฯ-ส่งออกอาหาร -สายการบิน-ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จัดพอร์ตหุ้น 30% เงินสด70% ชี้ให้ถือลงทุน3-6 เดือน ส่วนปันผลเด่นยีลด์เกิน 4% ต่อปี ชู MCS-RATCH-ASK ระบุจากนี้ยังคาดการณ์ทิศทางฟันด์โฟลว์ยาก ขึ้นกับประชุมเฟดแต่ละรอบว่าจะส่งซิกอย่างไร ขณะที่ผลประชุม BOJ คงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ -0.1% และคงปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ในตลาด

บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์ แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่ยังคาดการณ์ทิศทางฟันด์โฟลว์ได้ยากเพราะปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของฟันด์โฟลว์ คือ นโยบายการเงินของเฟด ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นให้ถือเงินสด 70% และให้ถือหุ้นส่วนน้อยที่เหลือ 30% และกลยุทธ์นับจากนี้ต้องเน้นเลือกรายหุ้นพื้นฐานดี โดยจะต้องถือลงทุนระยะ 3-6 เดือน เลือกกลุ่มที่มีกำไรเติบโตโดดเด่นในงวดครึ่งหลังปี59 รายละเอียดหุ้นแต่ละกลุ่ม มีดังนี้

*** กลุ่มโรงพยาบาล กำไรงวดQ3จะสูงสุด
กลุ่มโรงพยาบาล : คาดงวดไตรมาส 3/59 กำไรกลุ่มโรงพยาบาลจะสูงสุดจากผลของฤดูกาล (โรคต่างๆ ที่มากับฤดูฝน และคนไข้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อน และปีนี้วันถือศีลอด(รอมฎอน) ตกงวดไตรมาส3/59 เพียง 7 วัน เทียบกับปีก่อนที่ 21 วันโดย BDMS(FV@B27) เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีการกระจายตัวของคนไข้ที่ดี มีการเติบโตต่อเนื่องและยังได้รับประโยชน์ทางภาษี หลัง BOI มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์เป็นครั้งแรกในประเทศ
ส่วน BH(FV@B220) แม้กำหนดเป้ารายได้ทรงตัวแต่แผนการลดต้นทุนเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายรวมทั้งการเร่งเปิดคลินิคทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นศูนย์ส่งต่อผู้ป่วย น่าจะช่วยหนุนกำไรปีนี้จะยังเติบโต 7%และเพิ่มขึ้นอีก 10.7% ในปีหน้า
ส่วนหุ้นขนาดกลาง BCH(FV@B14)จะพลิกกลับมาเติบโตก้าวกระโดดทั้งจากช่วงฤดูกาลและการเพิ่มศักยภาพ รพ.เก่า และการเตรียมขยายสาขาใหม่ โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตถึง 34% YoY จากรายได้ผู้ป่วยประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จาก WMC ดีขึ้นเป็นลำดับจากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะเริ่มเห็นกำไรในปีหน้า
ส่วน RJH (FV@B24) คาดปีนี้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่าเท่าตัวจากทำเลที่ดี และการบกระดับการให้บริการศูนย์โรคหัวใจและไตเทียม บวกกับราคาหุ้นยังมี upside สูง 17.6% ส่วน LPH(FV@B12)คาดปีนี้เติบโตถึง 70% และโตแรงต่อเนื่องในปี 2560 จากเปิดเพิ่ม 9 ศูนย์ Excellent Center ขณะที่ราคาหุ้นยังมี Upside จากราคาปัจจุบัน 42% โดยยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากดีล รพ.เดชาที่คาดจะทราบผลสิ้นเดือนนี้

*** กลุ่มประกันจะเข้าสู่ช่วงพีคในQ4
กลุ่มประกันฯ : เชื่อว่า bond yield curve น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว รวมทั้งการที่ คปภ. ได้พิจารณาปรับอัตราคิดลด (discount rate)ที่เหมาะสมใหม่รองรับกรณีอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำ ส่งผลบวกต่อ BLA (FV@B48.5) มีการตั้งเงินสำรองฯ กรมธรรม์ลดลง หนุนกำไรปกติยังอยู่ในทิศทางที่ดี และน่าจะเข้าสู่ช่วง Peak ในช่วง 4Q59 เช่นเดียวกับ BKI (FV@B409)คาด 3Q59 ขึ้นทำ peak ของปี เนื่องจากเป็นช่วงต่อสัญญาประกันภัยโดยเฉพาะในกลุ่มงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยหักล้างผลกระทบจากรายได้จากธุรกิจลงทุนที่จะเห็นการลดลงของรายได้จากเงินปันผลเนื่องจากเป็นช่วงนอกฤดูกาล
ส่วน THREL(FV@B11.90) การเติบโตของเบี้ยฯ กลุ่ม non-conventional ที่แข็งแกร่งมากในช่วง 1H59 ทำให้ผลการดำเนินงาน 1H59 คิดเป็นสัดส่วนถึง 53% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 ที่ประเมินไว้เดิม บวกกับการควบคุม combined ratio ได้ดีกว่าคาด ทำให้ฝ่ายวิจัยเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2559-60 ขึ้น 9.2% และ 5.7% จากเดิม โดยคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 3Q59 ยังทรงตัวใกล้เคียงกับงวด 2Q59 ก่อนที่จะกลับขึ้นไปทำระดับสูงสุดของปีในงวด 4Q59 เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ทำให้ปีนี้คาดกำไรสุทธิเติบโต 16%yoy และปีหน้าโตต่อเนื่อง 12.6% yoy

*** กลุ่มสายการบินเข้าไฮซีซั่นในQ3
กลุ่มสายการบิน : ช่วงไตรมาส 3/59 เป็นช่วงไฮซีซั่นเกาะสมุย ส่งผลบวกโดยตรงต่อ BA(FV@B30.70) โดยคาดว่า Cabin Factor ช่วง 2H59 จะสูงกว่าครึ่งแรกปีนี้ที่ 69.6% หนุนยอดทั้งปีจะสูงกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยที่ 68.3% ขณะที่ต้นทุนน้ำมันช่วงที่เหลือของปี คาดว่าจะลดลงจาก 2H58 ที่ 90 เหรียญฯ เนื่องจากได้ทำสัญญาล่วงหน้าในช่วง 2H59 ไป 50% ของปริมาณใช้ที่ราคาราว 60 เหรียญฯฯ และส่วนที่เหลืออีก 50% ยังคาดมีต้นทุนราคาใกล้เคียงราคาปัจจุบันที่ 60-65 เหรียญฯ

*** กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรมเข้าไฮซีซั่นในQ4
กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม น่าจะดีเป็นรายหุ้นแม้ยังไม่เข้าสู่ไฮซีซั่นในช่วง 4Q59 คือ ERW (FV@B5.80) นั้นคาดงวด 3Q59จะมีกำไรสูงกว่า 2Q59 จากอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นจาก 2Q59 อีก 8% สู่ 79% และน่าจะมีกำไรเพิ่มต่อเนื่องจนถึง 4Q59และยาวไปจนถึง 1Q60ซึ่งเป็นช่วง Peak Seasonท่องเที่ยว ส่วน CENTEL (FV@B46)ธุรกิจโรงแรม 2H59 คาดเติบโตตามทิศทางการท่องเที่ยวไทย โดยดีสุด 4Q59จากช่วงไฮซีซั่น
ส่วนธุรกิจอาหารยังเติบโตจากยอดขายเดิม และขยายสาขาใหม่จากการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย และช่วงเทศกาลวันหยุดต่าง ๆ ในช่วงปลายปี MINT(FV@B44) ธุรกิจโรงแรมในงวด 3Q59 มีแรงหนุนจากไฮซีซั่นในโปรตุเกส ส่วนธุรกิจอาหาร ยังมีสัญญาณเป็นบวกต่อเนื่องจากยอดขายร้านอาหารเดิม (SSS)ที่ยังเติบโตได้ดี รวมทั้งการขยายสาขาร้านอาหารใหม่ ช่วยหนุนให้ธุรกิจอาหารรวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% yoy

*** กลุ่มชิ้นส่วนฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ชู KCE-SVI-HANA
กลุ่มชิ้นส่วนฯ : แม้ทิศทางเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งขึ้นจนนำไปสู่การปรับสมมติฐานเฉลี่ยทั้งปี 2559-60 เป็น 35 บาท แต่การแข็งค่าที่ค่อยเป็นค่อยไป ผนวกกับเป็นช่วงไฮซีซั่นของการส่งออก ซึ่งจะช่วยหนุนกำไรกลุ่มฯ เติบโตสูงกว่า 1H59 โดยเฉพาะ KCE(FV@B110)และ SVI(FV@B5.60)จากแนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 2H59 เติบโตโดดเด่นจากกำลังการผลิตใหม่ๆ ที่เข้ามาต่อเนื่อง พร้อมกับแนะนำซื้อ HANA (FV@B39)ที่จะเห็นการ turnaround ของผลการดำเนินงานในงวด 2H59 และสามารถคาดหวัง div yield ได้ถึง 6% p.a.(จ่ายปีละ 2 ครั้ง)

*** กลุ่มเกษตร-อาหาร จะเข้าสู่ฤดูกาลส่งออก
กลุ่มเกษตร-อาหาร : แนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานงวด 3Q59 ของกลุ่มเกษตร-อาหาร จะเติบโตจากงวด 2Q59 จากการเข้าฤดูกาลส่งออกอาหารสู่ต่างประเทศ ทำให้ราคาไก่ และ สุกร ยังทรงตัวสูงต่อเนื่องจากงวด 2Q59 อีกทั้งราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองอ่อนตัว เนื่องจากจีนเร่งระบายสต็อกข้าวโพด และผลผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองในสหรัฐฯ ออกสู่ตลาด โดยเลือก TFG (FV@B5.75)จากปัจจัยบวกราคาไก่และสุกรอยู่ในระดับสูง และซื้อ GFPT (FV’60@B16.91) BR(FV60@B7.47)ที่ได้ผลประโยชน์จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง และ CPF (FV@B39.85)

*** หุ้นปันผลสูง ยีลด์ 3.5-4%
- ชุดแรก คัดเลือกเฉพาะหุ้นที่มีคุณสมบัติ คือ เงินปันผลเกินกว่า 4% ต่อปี, Ex.P/E ไม่เกิน 15 เท่า, มีความผันผวนต่ำ (Beta ไม่เกิน 1) และมี upside สูงเกินกว่า 15% คือ
MCS (FV@B17.19) คาด 3Q59 ผลประกอบการโดดเด่นจากปริมาณการส่งออกรวมทรงตัวระดับสูง รวมทั้งการแข็งค่าของเงินเยน และมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการ
RATCH (FV@B60) หุ้น Defensive เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว คาดหวัง upside จากโครงการต่างประเทศได้
ASK (FV@B27.50) ได้ปัจจัยบวกจากโครงการก่อสร้างภาครัฐหนุนความต้องการใช้สินเชื่อรถบรรทุก รวมทั้งผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 7.4% จ่ายปีละครั้ง หากนักลงทุนซื้อหุ้นในช่วงนี้ และถือไปจนถึงขึ้น XD เปรียบเสมือนได้ปันผลกว่า 14% จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
- ชุด 2 มี เงื่อนไข คือ Dividend Yield ตั้งแต่ 3.5% ขึ้นไป P/E ต่ำกว่าตลาดฯ และ upside ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป คือ
TTW (FV@B11.50) หุ้นปันผลสูง ราคาหุ้นไม่ผันผวน ขณะที่ปัญหาภัยแล้งผ่านพ้นไปแล้ว หนุนผลประกอบการดีขึ้น ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมาช่วยเพิ่ม upside ให้น่าสนใจอีกครั้ง
EASTW (FV@B13.50) หุ้นปันผลสูงเช่นกัน คาดผลประกอบการน่าจะดีขึ้นในช่วง 2H59 หลังผ่านช่วงภัยแล้งไปแล้ว และกำไรจะกลับมาเติบโตอีกครั้งปี 2560
GLOW (FV@B95) จุดเด่นที่กระแสเงินสดในระดับสูง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมีความสม่ำเสมอ อีกทั้งยังสามารถคาดหวังปันผลพิเศษที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2559 และ 60 อาจปรับตัวลดลงจากโรงไฟฟ้า IPP ที่รายได้ค่าความพร้อมจ่ายตามสัญญา (AP)อยู่ในช่วงขาลง อีกทั้งยังมีการ shutdown ทั้ง planned และ unplanned เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม GLOW ยังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการลงทุนใหม่ ถือเป็น upside ในอนาคต
HANA (FV@B39) งวด 3Q59 เข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออก ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 2H59 จะกลับมาเติบโตโดดเด่น จากสินค้าในกลุ่มยานยนต์ การแพทย์ และ RFID ขณะที่ราคาหุ้นยัง laggard SET และกลุ่มฯ ค่อนข้างมาก ราคาที่ปรับลงถือเป็นจุดเข้าสะสมที่ดี โดยมี PER เพียง 10.5 เท่า และยังคาดหวังปันผลได้มากกว่า 6%
SCCC (FV@B342) แผนการลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศสร้างผลกำไรที่เติบโตในระยะยาว โดยฐานะการเงินแข็งแรงพอสำหรับการลงทุน แต่อาจมีโอกาสเพิ่มทุนบางส่วนเพื่อลด Net Gearing ลง
PTT (FV@B400) ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นตามราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวขึ้นในช่วงสั้น
ADVANC (FV@B189) ยังเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสุดของกลุ่มสื่อสาร ศักยภาพการแข่งขัน และรักษาตำแหน่งผู้นำอย่างยั่งยืนด้วยการมีคลื่นในมือกว่า 55 MHz อย่างไรก็ตาม ด้วยการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้การเติบโตของกำไรในปีนี้ลดลง ก่อนจะกลับมาเติบโตในปีหน้า

*** BOJ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.1% คงปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ในตลาด
EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกบทวิเคราะห์ เรื่อง BOJ ปรับการดำเนินนโยบายการเงิน เข้าควบคุมอัตราผลตอบแทนโดยตรง (yield curve control) โดยระบุว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น ( Bank of Japan:BOJ ) ปรับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน โดยเพิ่มประเด็นการเข้าควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (yield curve control)
ทั้งนี้ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.1% และคงปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ในตลาด โดยมีวงเงินที่จะซื้อหุ้นกู้เอกชน 5.4 ล้านล้านเยนต่อปี กองทุนหุ้น (ETFs)6.0 ล้านล้านเยนต่อปี และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 9 หมื่นล้านเยนต่อปี สำหรับการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอาจสามารถปรับเปลี่ยนไปจากที่กำหนดไว้เดิมที่80 ล้านล้านเยนต่อปีได้ ทั้งนี้ BOJ ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2.0% ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
สำหรับการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนฯ ใช้การกำหนดเป้าหมายที่อัตราผลตอบแทนฯ ทั้งในระยะสั้น (ดอกเบี้ยนโยบาย) และระยะยาว (อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปี)
การดำเนินนโยบายการเงินดังกล่าวเป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด เนื่องจาก BOJ เริ่มเผชิญกับข้อจำกัดทั้งด้านอุปทานของพันธบัตรรัฐบาลซึ่งในปัจจุบัน BOJ ถือครองอยู่ในสัดส่วนสูงเกินกว่า 40% ของปริมาณพันธบัตรฯ ทั้งหมด และด้านความไม่เข้าใจของประชาชนบางส่วนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบ ดังนั้น การปรับแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงินโดยการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เป็นสิ่งตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเล็กน้อยดัชนีหลักทรัพย์ Nikkei 225 ปรับเพิ่มขึ้น 1.91% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุคงเหลือ5, 10 และ 30ปี โดยปรับเพิ่มขึ้นราว3 basis points



 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com