March 28, 2024   11:04:24 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > TUกู้2หมื่นลบ.ซื้อภัตตาคารซีฟู้ดระดับโลก
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 12/10/2016 @ 08:54:52
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

"ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป" ทุ่มกว่า 2 หมื่นลบ.ลงทุนใน "เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด"ภัตตาคารอาหารทะเลใหญ่สุดในโลก เป็นกลยุทธ์เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ด้วยเครือข่ายร้านอาหาร Red Lobster วงการมองระยะสั้นยังไม่หนุนกำไร เหตุภัตตาคารยังขาดทุน ขณะดี/อี เพิ่มจากการกู้เงินมาลงทุน คาดดีลนี้หนุนกำไร TU ราว 6-8% เริ่มปี60 บริษัทลั่นไม่ใช่ดีลสุดท้าย ยังเดินหน้าทำ M&Aต่อตามแผนกลยุทธ์ ส่วนรายได้ปีนี้มั่นใจเข้าเป้า 4.5 พันล้านเหรียญฯ โบรกฯ ส่วนใหญ่คงคำแนะนำ ซื้อ เป้า 26-26.50 บาท


*** ทุ่มเงินกว่า 2 หมื่นลบ. ลงทุน `เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด`
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 10 ต.ค.59 มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนโดยบริษัทหรือบริษัทย่อย ในหน่วยลงทุนสามัญ จำนวน 1,687,245 หน่วย ของ Red Lobster Master Holding, L.P.(Red Lobster)ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของรัฐดัลลาแวร์ และหุ้นกลุ่ม H ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GGCOF RL Blocker, LLC (RL LLC) ซึ่งเป็นบริษัทประเภทจำกัดความรับผิดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของรัฐดัลลาแวร์และเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนใน Red Lobster
การซื้อหุ้นกลุ่ม H ดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนในหน่วยลงทุนสามัญของ Red Lobster เพิ่มเติมอีกจำนวน 812,755 หน่วย ทั้งนี้ การเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนที่ปรับลดแล้วเท่ากับ 25% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ Red Lobster ทั้งนี้ โดยผู้ซื้อจะซื้อตราสารทั้งสองประเภทจากผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมใน Red Lobster ซึ่งรวมถึงกิจการในเครือของกองทุนที่จัดการโดย Golden Gate Private Equity, Inc. (ผู้ขาย) ในราคา 230 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ได้เข้าซื้อหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้จำานวน 1,619,755 หน่วยของ Red Lobster และหุ้นกลุ่ม G ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ RL LLC โดยการซื้อหุ้นกลุ่ม G ดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนในหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้ของ Red Lobster เพิ่มเติมอีกจำนวน 780,245 หน่วย ทั้งนี้ การเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนที่ปรับลดแล้วเท่ากับ 24% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ Red Lobster ทั้งนี้ ผู้ซื้อจะซื้อตราสารทั้งสองประเภทจากผู้ขายในราคา 345 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เมื่อการเข้าทำธุรกรรมข้างต้นเสร็จสิ้น ผู้ซื้อจะได้รับสิทธิบางประการในการลงทุนเพิ่มเติมใน Red Lobsterและ RL LLC ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยสิทธิดังกล่าวไม่มีลักษณะบังคับให้ผู้ซื้อจำต้องใช้สิทธิลงทุนเพิ่มเติมดังกล่าวแต่อย่างใด

*** เป็นกลยุทธ์เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ด้วยเครือข่าย Red Lobster
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวเพิ่มเติมในเอกสารเผยแพร่ว่า บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ ในบริษัท เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด ซึ่งดำเนินกิจการภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 575 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 20,000 ล้านบาท โดยโกลเดนเกท แคปิตอล ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจควบคุมการบริหารในเรด ล็อบสเตอร์เช่นเดิม
การลงทุนครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวในเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง และจะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากทีมบริหารของ เรด ล็อบสเตอร์ และโกลเดนเกท ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมร้านอาหารทะเลอย่างครอบคลุมและกว้างขวาง
?? " เรด ล็อบสเตอร์ เป็นแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจร้านอาหารทะเล รวมถึงมีทีมบริหารที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลก และยังมีผลการดำเนินงานที่ดีนับตั้งแต่โกลเดนเกทเข้าซื้อกิจการในปี 57" นายธีรพงศ์ กล่าว
อนึ่ง TU เป็นผู้จัดหาวัตถุดิบในเชิงกลยุทธ์ของ เรด ล็อบสเตอร์ ตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปี และ TU มีประสบการณ์อันยาวนานถึง 40 ปีในการจำหน่ายอาหารทะเลชั้นนำระดับโลก บริษัทประสบความสำเร็จในการขยายสายผลิตภัณฑ์ ในปัจจุบันไทยยูเนี่ยนจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลมากมายหลากหลายประเภท ได้แก่ ล็อบสเตอร์ กุ้ง ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และปู ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลชั้นนำระดับโลกมากมาย เช่น Chicken of the Sea, King Oscar, John West และ Petit Navire

*** กู้ระยะสั้น 2 หมื่นลบ.เพื่อทำดีลนี้
TU ระบุว่า คณะกรรมการบริษัท ยังได้อนุมัติการเข้าทำสัญญากู้ยืมเงินระยะสั้น จำนวนไม่เกิน 20,100 ล้านบาท กับสถาบันการเงินในประเทศ รวมถึงการเข้าทำหนังสือยืนยันข้อผูกพันการให้สินเชื่อ เพื่อนำเงินไปใช้ในการเข้าซื้อหน่วยลงทุนสามัญ จำนวน 1,687,245 หน่วยของ Red Lobster และหุ้นกลุ่ม H ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ RL LLC ที่ถือหน่วยลงทุนใน Red Lobster และการลงทุนบุริมสิทธิ์ที่แปลงสภาพได้จำนวน 1,619,755 หน่วยของ Red Lobster และหุ้นกลุ่ม G ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ RL LLC
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 59 บริษัทและผู้ขาย ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวกับการลงทุนครั้งนี้ และคาดว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 11 ต.ค.59

*** เดินหน้าซื้อกิจการต่อตามแผนกลยุทธ์เติบโต
นายธีรพงษ์ กล่าวแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่า นอกจากดีลนี้แล้ว บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสในการซื้อกิจการต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีของบริษัทฯ ในการเติบโต แต่เชื่อว่ายังไม่ได้ข้อสรุปในปีนี้
หลังจากเข้าไปซื้อ "เรด ล็อบสเตอร์" อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E)จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.91 เท่า จาก
6 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 0.7 เท่า และจากนี้บริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่จะซื้อหุ้นเพิ่ม เพราะต้องการศึกษาให้เข้าใจถึงธุรกิจร้านอาหารก่อน เพราะถือว่าเป็นธุรกิจใหม่ที่บริษัทฯเข้าไปลงทุน โดยบริษัทฯไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจร้านอาหาร
ปี 58 เรด ล็อบสเตอร์ มีรายได้อยู่ที่ 2,400 ล้านเหรียญ ซึ่งมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 3% โดย TU ส่งตัวแทนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการ เรด ล็อบสเตอร์ 2 คน ซึ่งจะเข้าไปช่วยในการปรับปรุงการดำเนินงานและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ และคาดหวังการลงทุนครั้งนี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีกับบริษัทฯ ในอนาคต และเปิดโอกาสให้บริษัทฯเข้าไปทำธุรกิจร้านอาหาร
"เรด ล็อบสเตอร์ในปี 58 มีรายได้อยู่ที่ 2,400 ล้านเหรียญ ส่วนด้านของกำไรนั้นอย่าสนใจกำไรในปีนี้ แต่จะต้องมองแนวโน้มผลประกอบการในอนาคที่มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยหวังว่าบริษัทฯ จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมารู้จักเรด ล็อบสเตอร์มานาน โดยซัพพลายสินค้ามากว่า 20 ปี โดยมีรายได้จากการขายสินค้าให้เรด ล็อบสเตอร์ 65 ล้านเหรียญต่อปี โดยบริษัทฯ หวังว่าการเข้าไปเป็นกรรมการเรด ล็อบสเตอร์ ภายใน 2-3 ปีจะมีความรู้มากขึ้น" นายธีรพงษ์ กล่าว
สำหรับรายได้ปีนี้ ก็คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้ ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพราะภาพรวมธุุรกิจยังเดินหน้าไปตามแผนไม่มีปัจจัยที่น่ากังวล ซึ่งรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก

*** วงการมองระยะสั้นยังเพิ่มมูลค่าไม่มาก แต่จะดีในระยะยาว คงคำแนะนำ "ซื้อ"
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่า จากการที่ TU กล่าวว่าประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการลงทุนครั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ไปสู่ภาคธุรกิจใหม่ ได้แก่ การให้บริการร้านอาหารแบบค้าปลีก ทำให้บริษัทสามารถทำตามกลยุทธ์ซึ่งมุ่ง
ไปสู่การเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ได้รับประโยชน์จากความนิยมในการรับประทานอาหารนอกบ้านของผู้บริโภคในสหรัฐ ผ่านการลงทุนในบริษัทที่มีความชำนาญในธุรกิจอาหารทะเลเป็นอันดับหนึ่งของทวีปอเมริกาเหนือ และต่อยอดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ Red Lobster ซึ่งมีมูลค่ากว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่า EPS จะเพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิที่อาจได้รับจาก Red Lobster
" ทางฝ่ายวิจัยฯ ได้ร่วมเข้าประชุมบริษัทเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมในวันนี้ แต่โดยรวมเห็นว่าแม้บริษัทจะมีภาระหนี้เงิน
กู้เพิ่มขึ้น แต่ก็จะได้มาซึ่งกิจการที่จะทำให้ได้ตรงเป้าหมายในอนาคต ตามที่บริษัทได้วางกลยุทธ์ไว้ คงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ TU
ราคาเป้าหมาย 26.50 บาท"

บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองบวกต่อดีล TU ซื้อหุ้นสามัญของธุรกิจร้านอาหารทะเล Red Lobster 754 สาขาทั่วโลก 25% และซื้อหุ้นบุริมสิทธิที่แปลงเป็นหุ้นสามัญได้เมื่อครบ 10 ปีอีก 24% รวมมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็น P/EBITDA 8 เท่าไม่แพง เงินลงทุนจะมาจากการกู้ แต่ไม่เป็นภาระกับดอกเบี้ยนัก บริษัทตั้งเป้า Red Lobster มีกำไรปีหน้าหลัง sourcing วัตถุดิบจาก TU และปรับต้นทุน
" เรามองเป็นบวกต่อดีลนี้ในระยะยาว แต่ระยะสั้นยังเพิ่มมูลค่าไม่มากนักและยังไม่มั่นใจว่าธุรกิจดังกล่าวจะเป็นกำไรได้ทันที จึงคงประมาณการและราคาเป้าหมาย 26 บาท แนะนำซื้อลงทุน"

บล.บัวหลวง ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยสำหรับดีลนี้ เพราะปัจจุบัน Red Lobster ยังขาดทุนอยู่ แต่คาดว่า synergy กับ TU จะหนุนให้ Red Lobster มีกำไรได้ในปี 2017 เบื้องต้นคาดกำไรของ TU จะปรับเพิ่มราว 6-8% จึงคงคำแนะนำ ซื้อ TU ราคาเป้าหมาย 26 บาท

*** "โนมูระ พัฒนสิน" ปรับคําแนะนําจาก Buy เป็น NEUTRAL

บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า มีมุมมอง Slightly negative ปรับคําแนะนําจาก Buy เป็น NEUTRAL ปรับราคาเป้าหมายลงเหลือ 23.50 บาท จากเดิม 25 บาท (ลดพีอีเป้าหมายจาก 17 เท่า เหลือ 16 เท่า) เนื่อง
จากเหตุผล ดังนี้
1) ปัจจุบันงบของ Red Lobster ยังเป็ นขาดทุน ดังนั้นการรับรู้ Equity method 25% จึงไม่
เป็นผลดีต่อ TU แต่ในอนาคต เมื่อปรับปรุงกิจการแล้ว น่าจะมีกําไรเข้ามา
2) บริษัทฯ ต้องกู้เงินรวม 20,100 ล้านบาท มาลงทุน ทําให้ Net debt to equity เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 0.74 เท่า เป็ น 1.16 เท่า
3) ผลตอบแทนจากหุ้นบุริมสิทธิปีละ US$22 ล้าน พอดีจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้คาดปีละ 18-20 ล้านบาท
4) สินค้าที่ TU ขายให้กับ Red Lobster ปีละ US$50 ล้าน คิดเป็ น 1.3% ของยอดขายรวม
TU นับว่ายังไม่มีนัยสําคัญ
ทั้งนี้ คาดว่าราคาหุ้น TU จะปรับตัวลดลงในช่วงแรก เพราะการลงทุนครั้งนี้จะทําให้ฐานะทางการเงินอ่อนตัว
ลงเนื่องจากการลงทุน 2 หมื่นล้านบาท มีนัยสำคัญ เนื่องจาก ทําให้ D/E เพิ่มขึ้น (ทําให้ M&A ครั้งใหม่ลําบากขึ้น) แต่การ
รับรู้ส่วนแบ่งกําไรยังไม่มีนัยสําคัญในช่วงแรก เพราะ Red Lobsterยังขาดทุน อย่างไรก็ตามในระยะยาวนับเป็นกลยุทธ์
ที่ดีเพราะการเข้าลงทุนใน Red Lobster เปิดทางให้ TU มีช่องทางในธุรกิจ Food Service มากขึ้น

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com