April 19, 2024   10:07:34 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > แนวคิด 4 เซียน ณ ดัชนี 1560 จุด
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 14/06/2017 @ 08:50:43
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเมษายนอยู่ที่ประมาณ 1,560 จุด ท่ามกลางเสียงบ่นกันขรมว่า “ลงทุนไม่ได้ เพราะแพงเกินไปแล้ว” แต่มยุรี โชวิกรานต์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ “มือเก๋า” ที่เห็นดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นลงมาเป็นเวลานาน เชื่อมั่นว่า ไม่ว่าดัชนีจะพุ่งขึ้นหรือลงไปเท่าไหร่ โอกาสการลงทุนมีอยู่เสมอ เพียงแต่ต้องใส่ใจเรื่องการลงทุนให้มากขึ้น และ “ทำการบ้าน” ให้หนักขึ้น แต่ก่อนที่จะลงทุน สิ่งแรกที่นักลงทุนต้องพิจารณาคือ กรอบระยะเวลาการลงทุนของตนว่า ตนพร้อมจะเป็นนักลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว

“อย่าเป็นไม้ที่เอนไปด้านใดก็ได้
เพราะมันจะทำให้
พอร์ตของคุณวนอยู่ในอ่าง”

สำหรับดัชนีตลาดหุ้นที่ 1,560 จุด โดยมี PE เฉลี่ยอยู่ที่กว่า 15 เท่า ที่หลายคนบอกว่า “ลงทุนไม่ได้” แต่มยุรียืนยันว่า ยังมีหุ้นปันผลระดับ 6-7% ในราคา PE ระดับ 7-8 เท่า อยู่ในตลาดและก็ยังมีหุ้นที่มั่นคง ธุรกิจโตได้ใน 5 ปี 10 ปี แต่อาจจะเติบโตช้าบ้าง แต่ราคาแพง รวมถึงยังมีหุ้นที่สามารถเก็งกำไรในระยะในรอบสั้นๆ ได้เช่นกัน ฉะนั้น ในความเป็นจริงของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันคือ ไม่ใช่ลงทุนไม่ได้ แต่หุ้นที่ลงทุนได้เหล่านี้ ตัวไหนที่ตอบโจทย์ของนักลงทุนต่างหาก -
“ณ เวลานี้ ตลาดหุ้นไทยเหมาะกับการลงทุนของทั้งแนววีไอและเก็งกำไร โอกาสมันมีเสมอ ไม่ว่าตลาดจะบวกหรือลบกี่จุด เพราะมันมีคนซื้อและคนขายอยู่ตลอดเวลา มันอยู่ที่วิธีการลงทุนของคุณ แต่อย่าบอกว่าลงทุนอะไรก็ได้ขอแค่ให้ได้กำไร เพราะคำตอบ
ของการลงทุนแบบนี้ ไม่มี”

มยุรีทิ้งท้ายด้วยหุ้นที่เธอเชื่อว่าน่าจะตอบโจทย์นักลงทุนแนววีไอ ซึ่งหุ้นปันผลบริษัทมั่นคง ธุรกิจน่าจะโตต่อไปได้ 3-5 ปีแน่นอน และ PE ไม่ถึง 10 เท่า โดยราคาหุ้นลดลงมามากเนื่องจากแรงเทขายเพราะตกใจ (Panic) จากการปรับโครงสร้างบริษัทและปรับทีมผู้บริหารเมื่อปีที่แล้ว นั่นคือ
“พฤกษา โฮลดิ้ง (PS)” นอกจากนี้ยังมีหุ้นกลุ่มแบงก์ที่เข้าเกณฑ์ PE ต่ำ และเห็นเทรนด์ การเติบโตใน 3-5 ปีข้างหน้า รวมถึงอาจมี Panic
จากตัวเลขหนี้เสีย ซึ่งน่าจะถือเป็นจังหวะเข้าในการเข้าซื้อ ขณะที่หุ้นกลุ่มเก็งกำไร เธอแนะนำหุ้นกลุ่ม Commodity เพราะเทรนด์มาในปีนี้ โดยให้ใช้กราฟเทคนิคช่วยวิเคราะห์จังหวะลงทุน


“ไม่ว่าจะยึดหลักการลงทุนระยะสั้น กลาง หรือยาว มันมีหุ้นให้เลือกลงทุนได้เสมอ เพียงแต่หลักยึดของคุณต้องไม่เปลี่ยน อย่าเป็นไม้ที่เอนไปด้านใดก็ได้ตลอดเวลา มันจะทำให้พอร์ตคุณวนในอ่าง ไม่เติบโต”

“คนที่ประสบความสำเร็จ
ในตลาดหุ้นมีคนเดียว
คือคนที่มีวิธีคิดชัดเจน”
ณัฐวัฒน์ อ้นรัตน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้หลักคิดง่ายๆ ในการจำแนกนักลงทุนและนักเก็งกำไรว่า “การเก็งกำไร คือการซื้อแพงแต่ขายแพงกว่า ส่วนการลงทุน (วีไอ) คือซื้อถูกแต่ขายแพง” โดยสิ่งสำคัญที่ทำให้นักเก็งกำไรไม่สามารถกลายเป็นนักลงทุนวีไอได้คือ ไม่สามารถอดทนรอผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวได้

อย่างไรก็ดี ณัฐวัฒน์ให้เคล็ดลับในการลงทุนแบบง่ายๆ แต่ได้กำไรสูง คือการซื้อหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางตอนที่ตลาดหุ้นมีแรงตกใจ (Panic) ยิ่งเป็น Panic ที่เกิดปัญหามากที่สุดก็ยิ่งทำให้นักลงทุนได้กำไรสูงสุด ซึ่งมักจะเป็น Panic ที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจในประเทศไทยเอง ส่วน Panic ที่เกิดจากนอกประเทศ เขาแนะนำให้ใช้กราฟเทคนิควิเคราะห์ย้อนหลังไป 2 ปี (วัดจากจุดต่ำสุดแล้วดูว่าดัชนีลงมาต่ำกว่าจุดนั้นเท่าไหร่) เพื่อดูว่าดัชนีตลาดหุ้นที่ลดลงนั้นเป็น Panic หรือแค่การปรับฐาน ซึ่งถ้าในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นต่ำลงมาไม่เกินกว่า 30% ถือเป็นแค่การปรับฐาน

“ปัญหาคือช่วงไม่มี Panic จะทำอะไร ก็ไม่ต้องเล่น เพราะถ้าโจทย์เราคือ ลงทุนเพื่อต้องการผลตอบแทน 20% วิธีซื้อตอน Panic แค่ครั้งเดียวก็ได้แล้ว ฉะนั้นจะไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนทำไม รอให้ถึงจังหวะค่อยเล่น”

แต่ปัญหาคือถ้าไม่มี Panic เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ ณัฐวัฒน์จึงแนะนำอีก 2 วิธี ได้แก่ ลงทุนในหุ้นปันผล โดยทันทีที่มีข่าวไม่ดีกระทบต่อราคาหุ้นปันผลตัวนั้น ให้รีบเข้าไปซื้อ และสุดท้ายคือ วิธีเก็งกำไรเฉพาะหุ้นขาขึ้น โดยให้ใช้เส้นค่าเฉลี่ย 50 วันเป็นเส้นแบ่งระหว่างขาขึ้นกับขาลง โดยให้เก็งกำไรเฉพาะหุ้นที่อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยแล้วยืนมาได้ 1 เดือน แต่ถ้าหากหุ้นตัวนั้นยืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยมานาน 3-4 เดือน อาจต้องระวังการปรับฐาน ซึ่งอาจเป็นการพักเพื่อขึ้นหรือเพื่อปรับลงก็ได้

ภายใต้ภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เคลื่อนไหว (Sideway) เขาแนะนำว่าสามารถลงทุนได้ 2 แบบ แบบที่ 1 คือลงทุนหุ้นที่มีแนวโน้มจะขึ้นหรือหุ้นขาขึ้น โดยเมื่อไหร่ที่หุ้นถอยไปอยู่ใกล้ๆ เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ก็ให้เริ่มซื้อได้แล้ว และแบบที่ 2 คือลงทุนในหุ้นที่โดนทุบหรือหุ้นขาลง โดยให้ซื้อในวันที่ 2 หรือวันที่ 3 หลังการโดนทุบ แต่สุดท้าย

“แม้ว่าตลาดหุ้นจะไม่ไปไหน แต่ไม่ใช่ว่าตัวหุ้นก็จะไม่ไปไหนด้วย มันยังมีหุ้นให้ลงทุน เพียงแต่คุณต้องหาให้เจอ เพราะในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา แม้แต่ “หุ้นชั้นดี” ก็ยังลงทั้งแบบมีเหตุผลและไม่มีเหตุผลก็มี”

ณัฐวัฒน์ทิ้งท้ายว่า ตลอด 30 ปีที่คลุกคลีในตลาดหุ้นเขาพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นมีคนเดียว คือคนที่มีวิธีคิดชัดเจน ไม่ใช่คนที่ลงทุนแบบกลับไปกลับมา แม้แต่นักเก็งกำไร ก็ควรต้องมีวิธีคิดและหลักการเก็งกำไรที่ชัดเจน
- See more at: http://www.moneychannel.co.th/news_detail/17391/#sthash.7MB4Yd6W.dpuf

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com