ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 29 มี.ค.61 ปิดที่ 1,766.92 จุด ลดลง 18.07 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 84,249.32 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,698.86 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 548 บาท ลบ 12.00 บาท, AOT ปิด 66 บาท ลบ 1.75 บาท, CPALL ปิด 87.25 บาท ลบ 0.50 บาท, TMB ปิด 2.52 บาท ลบ 0.22 บาท และ SCC ปิด 494 บาท ลบ 8 บาท

บล.ทรีนีตี้ให้เป้าดัชนีเดือน เม.ย.เคลื่อนไหวในกรอบ 1,750-1,850 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง ติดหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ โดยประเด็นการลงทุนหลัก ให้น้ำหนักกับหุ้น 2 กลุ่มสำคัญ คือ กลุ่ม Commodity ทั้งพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และคาดว่าราคาน้ำมันและสเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะยังคงทรงตัวในระดับสูง

กลุ่มที่สอง คือหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวที่ได้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังคงแข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มโรงแรม และกลุ่มพาณิชย์ ดังนั้น หุ้นแนะนำประจำเดือนเมษายนนี้ ได้แก่ “PTT” และ “MINT” ให้ราคาเป้าหมายที่ 643 บาท และ 48 บาท ตามลำดับ

สำหรับปัจจัยในประเทศมีหลายประเด็นสำคัญต้องจับตามองทั้งผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 1/61 หากออกมาดีหรือแย่กว่าคาดจะนำไปสู่การปรับประมาณการกำไรของตลาดได้ ซึ่งล่าสุดประมาณการ EPS ของ SET Index ประจำปี 61 และ 62 อยู่ที่ 110.8 บาท และ 121.8 บาท ตามลำดับ

ส่วนประเด็นการเลือกตั้งที่ต้องติดตาม หลัง สนช.เข้าชื่อส่งร่างประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ หากยุติเพียงเท่านี้ จะส่งผลกระทบต่อหุ้นไทยไม่มาก เพราะคาดว่าศาลฯจะใช้เวลาวินิจฉัยไม่เกิน 1 เดือน เว้นแต่จะมีการเข้าชื่อเพื่อยื่นร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการ เลือกตั้ง ส.ส.ให้กับศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาด้วย หากเกิดขึ้นจริง ย่อมส่งผลกระทบต่อแผนการเลือกตั้ง ไม่นับรวมกับกระบวนการสรรหา กกต.ที่อาจยังมีความไม่แน่นอนอยู่ หากล่าช้าจะส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นไทยได้

ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หากยังเกิดการโต้ตอบระหว่างกัน อาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อหลายประเทศรวมถึงเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะผู้ส่งออกสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางไปยังประเทศที่ได้รับผลกระทบ

แต่ผลต่อตลาดหุ้นนั้นอาจอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากกลุ่มที่ได้รับผลกระทบนั้นไม่ได้มีมูลค่าตลาดอย่างมีนัยสำคัญ!!