ปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ เร่งผลักดันเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ลดความเหลื่อมล้ำ ปฏิรูปหน่วยงานทางเศรษฐกิจ

คณะกรรมการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ เร่งเดินหน้าแล้ว 2 ด้าน ด้านแรกเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ผลักดันธุรกิจการเกษตร ธุรกิจอาหาร การท่องเที่ยว และการลงทุนทางอุตสาหกรรมที่มีอนาคต ด้านที่ 2 การเชื่อมต่อภูมิภาค เพิ่มความสะดวกในการขนถ่ายสินค้าข้ามพรมแดน ไทย-ลาว-จีน-เวียดนาม และผลักดันการปฏิรูปสถาบันที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจว่า รัฐได้ดำเนินการแล้ว 2 ด้านแรกคือ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ กระจายทั่วถึง พัฒนายั่งยืน โดยการส่งเสริมในระยะสั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นการสนับสนุนธุรกิจที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น อย่างเช่น ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจอาหาร การท่องเที่ยว และสิ่งที่ทำได้เลยคือ ส่งเสริมความรู้เทคโนโลยีภาคเกษตร การจัดการน้ำ เสริมความรู้เกษตรกรด้านทักษะ ด้านนี้อยากทำให้มากขึ้นเร็วขึ้น ซึ่งตามแผนงานได้กำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มผลิตภาพโดยเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 3%

ส่วนทางด้านอุตสาหกรรม ที่ประเทศไทยยังไม่เชี่ยวชาญแต่เห็นแนวโน้มโลกว่าจะมีความสำคัญ ก็ได้สนับสนุนสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต ได้แก่ การส่งเสริมการลงทุนด้านบีโอไอ ขับเคลื่อนเรื่องแรงจูงใจ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคอัจฉริยะ เป็นต้น
นอกจากนี้ในส่วนของงานที่จะสัมฤทธิ์ผลได้ในระยะปานกลาง แต่ได้เริ่มทำไปแล้วคือ ประโยชน์จากเรื่องการเชื่อมต่อภูมิภาค การสร้างโลจิสติกข้ามพรมแดน เช่น ถนนสายอาร์ 9 อาร์ 12, สามารถทำได้รวดเร็ว ช่วยเพิ่มความสะดวกในการขนถ่ายสินค้าจากประเทศไทยผ่านประเทศลาวไปประเทศจีน และประเทศเวียดนาม ซึ่งได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว และเรื่องการขอวีซ่าเข้าประเทศของกลุ่มนักธุรกิจต่างประเทศ และผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพต่างๆ ให้มีมาตรการที่ผ่อนคลายมากขึ้น

นายประสาร กล่าวอีกว่าการดำเนินงานในด้านที่ 2 ที่ได้ดำเนินการแล้วและต้องทำเพิ่มคือ เรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ ขจัดความยากจน และใช้คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา อยากให้มีสถาบันรับผิดชอบเรื่องนี้ในระยะ 20 ปีข้างหน้า โดยจัดตั้งสำนักงานบูรณาการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ เพื่อทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลง คิดเป็นค่าสัมปสิทธิจีมี่ ให้ลดลงเหลือ .36 จาก .45 อีกเรื่องที่จะต้องทำการพัฒนาเพิ่มคือ เรื่องการรักษาพยาบาล และการออม

และด้านที่ 3 ที่มีความยากกว่า 2 ด้านแรก และต้องใช้เวลาในการดำเนินการมากกว่าคือ การปฏิรูปสถาบันที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ทั้งที่เป็นระดับวางยุทธศาสตร์ ปฏิบัติ และติดตามผล เป็นการปฏิรูประบบราชการ และระบบรัฐวิสาหกิจ ซึ่งต้องใช้เวลานาน เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีผลต่อคนจำนวนมาก ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ขณะนี้เรื่องการแก้กฏหมายเพื่อรองรับการปรับระบบรัฐวิสาหกิจก็ยังอยู่ที่สำนักงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่คืบหน้าช้าเพราะมีคนที่มีความเห็นต่างกัน ส่วนหนึ่งมาจากสหภาพแรงงานมองว่าจะเป็นการแปรรูป แต่ไม่ได้แปรรูป แต่จะเข้าไปเซ็ทระบบธรรมาธิบาลในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเสนอต่อชั้นกรรมาธิการ