ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 25 ก.ค.61 ปิดที่ 1,690.08 จุด เพิ่มขึ้น 15.86 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 57,540.27 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 330.55 ล้านบาท

ขณะที่กองทุนในประเทศกลับมาซื้อหนัก โดยซื้อสุทธิ 4,364.93 ล้านบาท

หุ้นที่มูลค่าซื้อขายสูงสุด CPALL ปิด 76.50 บาท บวก 1.25 บาท, PTT ปิด 51 บาท บวก 0.75 บาท, KTC ปิด 27.50 บาท ลบ 0.50 บาท, AOT ปิด 65.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง และ LH ปิด 12.20 บาท บวก 0.60 บาท

ตลาดปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ และราคาน้ำมันที่ดีดขึ้น ขณะที่มีแรงซื้อหุ้นใหญ่รายตัวเพื่อดักหน้าผลประกอบการไตรมาส 2 ที่จะออกมา

กลับมาโฟกัสหุ้น RATCH กรณีเขื่อนดินที่ สปป.ลาว แตก โดยฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส แนะ “หลีกเลี่ยง” หุ้น RATCH เหตุเขื่อนดินย่อย ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เขื่อนย่อยของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ที่ สปป.ลาว แตก เมื่อ 23 ก.ค.61 จนทำให้ประชาชนกว่า 6 พันราย

กลายเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม กระทบ RATCH ซึ่งถือหุ้น 25% ในโครงการโดยโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย มีกำลังผลิตรวม 410 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง มีความคืบหน้า 90% แล้ว กำหนด COD 1 ก.พ.62

เอเซียพลัสประเมินผลกระทบเบื้องต้นต่อประมาณการกำไร และ Fair Value ของ RATCH กรณีเลวร้ายสุด คือไม่รวมกำลังผลิตจากโครงการนี้ 102.5 เมกะวัตต์ (คิดตามสัดส่วนที่ RATCH ถือ 25%) คิดเป็นเพียง 1.4% เมื่อเทียบกำลังผลิตรวมของ RATCH ที่ 7 พันเมกะวัตต์

ประเมินผลกระทบต่อมูลค่าพื้นฐาน 1 บาทต่อหุ้น จาก 61 บาทต่อหุ้น ถือว่าน้อยมาก อีกทั้งโครงการอยู่ระหว่างก่อสร้างและมีทำประกันไว้ คาดว่าจะสามารถชดเชยจากประกันภัยได้ แต่ต้องรอประเมินความเสียหายก่อน

สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในส่วนการซ่อมแซมเขื่อนไม่มากนัก แต่ความเสียหายที่ต้องชดเชยให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมถึงการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเสียหายมองว่า มีนัยสำคัญเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษที่จะเกิดขึ้น

ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่า บริษัทไฟฟ้าเซเปียน-เซน้ำน้อย จะต้องรับผิดชอบด้วยมูลค่าที่สูงเพียงใด ถือเป็นความเสี่ยงต่อ RATCH ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ส่วนหนึ่ง ระยะสั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน!!