หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด IVL ปิด 57.50 บาท ลบ 3.50 บาท, BEAUTY ปิด 9.55 บาท ลบ 0.85 บาท, PTT ปิด 51.75 บาท ลบ 0.75 บาท, PTTEP ปิด 145 บาท ลบ 5.50 บาท และ PTTGC ปิด 78.25 บาท ลบ 2.50 บาท

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงหนักตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่โดนกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น และ Bond Yield สหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น กระตุ้นให้เงินทุนต่างประเทศไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินกำไรไตรมาส 3 ปี 61 คาดแบงก์ 10 แห่งที่ศึกษา จะทำกำไรสุทธิได้ราว 5.18 หมื่นล้านบาท ลดลง 3% qoq แต่ยังเพิ่มขึ้นได้ 9.2% yoy กำไรที่ลดลงหลักๆ มาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ที่ถูกกระทบจากการฟรีค่าธรรมเนียมออนไลน์, กำไรธุรกรรมเพื่อค้าและ FX และกำไรจากเงินลงทุนอ่อนตัวลงแต่รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิยังเติบโต สอดคล้องกับคาดการณ์สินเชื่อสุทธิที่เพิ่มขึ้นทุกกลุ่ม

ส่วน NIM คาดไว้ที่ 3.09% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า หนุนด้วย yield ของเงินให้สินเชื่อที่เร่งตัวขึ้นสูงกว่าต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย เนื่องจากสินเชื่อ high yield เริ่มมีมากขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานค่อนข้างทรงตัวระดับสูง ตามการลงทุนด้าน IT ของแบงก์ใหญ่ เช่น SCB,KTB

แบงก์ที่ฝ่ายวิจัยคาดกำไรจะหดตัวแรงกว่ากลุ่ม เมื่อเทียบ qoq คือ TCAP ผลจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และ effective tax rate ที่เพิ่มขึ้นเป็นปกติ, SCB ค่าธรรมเนียมลดลง และค่าใช้จ่ายด้าน IT เพิ่มขึ้น, KBANK รายได้ค่าธรรมเนียมและกำไรขายเงินลงทุนลดลง, TISCO ผลจาก NIM และรายได้ค่าธรรมเนียมลดลง

ขณะที่ TMB, BAY, KKP เป็นแบงก์ที่กำไรสุทธิไตรมาส 3 จะโตจากไตรมาสก่อนหน้า และโดดเด่นกว่ากลุ่ม โดย 3 แบงก์นี้หนุนด้วยรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ ตามสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มแบงก์เท่าตลาด เลือก BBL และ TCAP เป็น top pick เพราะเด่นทั้งพื้นฐาน และ valuation ที่อยู่ระดับต่ำ และปันผลจูงใจเฉลี่ย 4-5% โดย BBL ให้ราคาพื้นฐานปี 61-62 ที่ 220 บาท และ 233 บาท และ TCAP ที่ 65 บาท และ 70 บาทตามลำดับ!!