ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 16 ม.ค.62 ปิดที่ 1,577.41 จุด บวก 0.41 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 50,218.66 ล้านบาท

ตลาดถูกกดดันจากแรงขาย LTF ที่ครบกำหนด 5 ปีไถ่ถอน ส่งผลให้ช่วงนี้กองทุนในประเทศเทขายสุทธิออกมาหนัก ท่ามกลางการเข้าซื้อของต่างชาติ

บล.เอเซียพลัสออกบทวิเคราะห์กรณีการควบรวม TMB และ TCAP ว่าแม้จะเป็นเรื่องดีในระยะยาว แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักมากนักต่อ synergy ของธุรกิจควบรวมกิจการกัน ที่เห็นคงเป็นการแบ่งเบาภาระ
การลงทุนระยะยาวด้าน IT ร่วมกัน

หากมองเรื่องการเพิ่มขนาดธุรกิจ จากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์รวม มาที่ราว 1.89 ล้านล้านบาท ถือว่าใกล้เคียงแบงก์อันดับ 5 ของกลุ่ม คือ BAY ที่ 2.10 ล้านล้านบาท แต่ก็ยังรั้งอันดับ 6 ของกลุ่ม ซึ่งปัจจุบันก็คือ TCAP อยู่ดี

ส่วนภาพรวมสินเชื่อ และเงินฝาก กระจายตัวดีขึ้น โครงสร้างสินเชื่อยังเน้นไปที่รายย่อยกว่า 54% แต่มีความหลากหลายขึ้น ทั้งเช่าซื้อรถยนต์ ที่อยู่อาศัย และอื่นๆ ไม่กระจุกตัวเฉพาะรถยนต์ในส่วนของ TCAP หรือบ้านในส่วนของ TMB ส่วนสินเชื่อรายใหญ่และ SME มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน

ขณะที่ฐานเงินฝากกระจายตัว ทั้งออมทรัพย์ No Fixed และ ME และเงินฝากประจำ ส่วนศักยภาพการทำกำไร นำด้วย NIM ซึ่งจะดีขึ้น สำหรับ TMB นั้น yield เพิ่มมากกว่าต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่ม แต่ลดลงสำหรับ TCAP เพราะ yield ลดมากกว่าต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลด

cost to income ratio ซึ่งไม่รวมกำไรจากการขาย บลจ.ทหารไทย เท่ากับ 46.3% ยังสูงกว่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 45% ด้วยจำนวนพนักงานที่สูงมากสำหรับ TCAP ซึ่งต้องบริหารจัดการต่อไปหลังรวมกิจการแล้ว เช่นเดียวกับ ROE ที่ยังตํ่าราว 10% ฝ่ายวิจัยจึงไม่ได้ให้น้ำหนักบวกต่อ synergy เท่าใดนัก

มองว่า แม้ยังไม่มีความชัดเจนสำหรับแนวทางการควบรวมกิจการ ว่าจะเป็น A+B = A/B, Amalagamation หรือการซื้อสินทรัพย์ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลบวกต่อราคาหุ้นของแบงก์ใดเป็นพิเศษ เนื่องจากทั้ง 2 แบงก์ ต่างก็เป็นบริษัทจดทะเบียน และยังมี PBV ที่ใกล้เคียงกันที่ราว 1 เท่า

ผลบวกที่ผู้ถือหุ้นของ TMB และ TCAP จะได้รับคือ แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ซึ่งยังต้องมีภาระการลงทุนในระบบ IT จำนวนมาก เพื่อรองรับบริการ digital banking!!