ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 เม.ย.62 ปิดที่ 1,644.22 จุด ลดลง 4.84 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 34,527.04 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 415.02 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด SCB ปิด 129.50 บาท ลบ 1 บาท, PTT ปิด 48 บาท ลบ 0.25 บาท, CPALL ปิด 75.25 บาท ลบ 0.75 บาท, PTTGC ปิด 68.75 บาท ลบ 0.50 บาท และ SCC ปิด 476 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ชี้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ซึ่งหากอิงตามรัฐธรรมนูญใหม่ การตั้งรัฐบาลใหม่น่าจะเกิดขึ้นภายในเดือน ก.ค.นี้ แต่ถ้าขั้นตอนต่างๆล่าช้าออกไป เชื่อว่าจะกระทบต่อการพิจารณาร่างงบประมาณปี 63 ล่าช้า และทำให้งบกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายภาครัฐ และกระทบต่อการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนล่าช้า ซึ่งจะกระทบต่อการบริโภคครัวเรือน

ถือเป็นความเสี่ยงต่อ GDP Growth มีโอกาสต่ำกว่าประมาณการที่ทำไว้ ซึ่งอาจกดดันผลดำเนินงานหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ เช่น การลงทุนภาครัฐเอกชน ธนาคารฯ ส่งออก และค้าปลีก เป็นต้น

แต่บรรยากาศการลงทุนในตลาดขณะนี้มีสัญญาณดีขึ้น หลังสงครามการค้าโลกที่ผ่อนคลายและดอกเบี้ยโลกน่าเข้าสู่วัฏจักรขาลง แต่ปัญหาการเมืองที่ยังมีอยู่ รวมถึงเดือน เม.ย.มีบริษัทจดทะเบียนราว 63 บริษัท ที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (กดดัน SET 9 จุด) อาจจะสร้างแรงกดดันให้ตลาดผันผวนมากขึ้น

เอเซียพลัสจึงประเมินกรอบดัชนีไว้ที่ 1,640-1,660 จุด แนะกลยุทธ์เน้นหุ้นที่อิงเศรษฐกิจภายนอกมากขึ้น แต่ลดน้ำหนักหุ้นที่อิงการบริโภคและการลงทุนในประเทศ

ดังนี้ 1.หุ้น Global Play ที่เกี่ยวกับราคาสินค้าภัณฑ์ (น้ำมัน) และได้ประโยชน์จาก Stock Gain ในงวด 1Q62 ชอบ PTT ให้ราคาพื้นฐาน 56 บาท, PTTEP ราคาพื้นฐาน 178 บาท และ PTTGC ราคา พื้นฐาน 79 บาท 2.หุ้นเกษตร-อาหาร ที่ได้ประโยชน์จากการที่ EU เพิ่มโควตานำเข้าไก่จากไทยและราคาเนื้อสัตว์ในประเทศทยอยฟื้นตัวปี 62 ได้แก่ GFPT ราคาพื้นฐาน 16.95 บาท, TFG ราคาพื้นฐาน 4.50 บาท และ CPF ราคาพื้นฐาน 31.50 บาท

3.หุ้นที่ผันผวนต่ำกว่าตลาด ชอบ EASTW ให้ราคาพื้นฐาน 13.50 บาท ได้ปัจจัยหนุนจากโครงการ EEC ที่จะทยอยเกิดขึ้นใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก หนุนความต้องการใช้น้ำดิบในภาคอุตสาหกรรม!!

อินเด็กซ์ 51