ดัชนีหุ้นไทย 6 ส.ค.62 ปิดที่ 1,671.48 จุด บวก 5.49 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 70,439.73 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,415.98 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด DOHOME ปิด 8.70 บาท บวก 0.90 บาท, CPALL ปิด 85.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง PTT ปิด 45.50 บาท ลบ 0.25 บาท, AOT ปิด 69.25 บาท ลบ 0.25 บาท และ ADVANC ปิด 215 บาท บวก 9 บาท

บล.เอเซียพลัสออกบทวิเคราะห์ “เงินหยวนอ่อนค่า กระทบหุ้นกลุ่มไหนมากสุด” ทั้งนี้ ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า โดยรวมทำให้แนวโน้มค่าเงินในประเทศเอเชียเทียบดอลลาร์อ่อนค่าตามเกือบทุกสกุล ยกเว้นค่าเงินบาท/ดอลลาร์ ที่ยังแข็งค่ามากสุดในภูมิภาค หรือแข็งค่าราว 5.3% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดอยู่ที่ 30.82 บาทต่อดอลลาร์

ผลจากเงินหยวนต่อดอลลาร์ที่อ่อนค่าแรง ทำให้ในเชิงเปรียบเทียบค่าเงินบาทต่อหยวนแข็งค่าแรง โดยแข็งค่าและทำจุดต่ำสุดในรอบ 8 ปี 8 เดือน อยู่ที่ 4.38 บาท/หยวน และแข็งค่าราว 6% นับตั้งแต่ต้นปี

ผลกระทบต่อไทยคือ ภาคการส่งออกไทยมีสัดส่วนการค้ากับจีนมากที่สุดราว 8.02 หมื่นล้านเหรียญ ในปี 61 หรือ 16% ของประเทศคู่ค้าทั้งหมดของไทย ทำให้ผู้ส่งออกจะมีรายได้ลดลงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลบาทต่อ หยวนและบาทต่อดอลลาร์, ราคาสินค้าไทยแพงขึ้นในสายตาผู้นำ

หุ้นที่คาดว่าได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง BEAUTY กระทบจากกำลังซื้อนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง สัดส่วนยอดขายของนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็น 5-10% ของยอดขายรวม, ความสามารถในการแข่งขันในจีนลดลง เนื่องจาก BEAUTY ส่งออกไปจีนราว 30% ของรายได้รวม

กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีน เป็นอันดับ 1 ของไทย มีสัดส่วน 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เงินบาท/หยวนที่แข็งค่า สร้างแรงกดดันต่อกำลังซื้อชาวจีนและกระทบต่อธุรกิจที่โรงแรม โดยเฉพาะ ERW ที่มีโครงสร้างรายได้พึ่งพาโรงแรมในไทยราว 94%

ขณะที่ CENTEL สัดส่วนร้านอาหารและธุรกิจโรงแรม 62% และ 37% ของรายได้ ส่วน MINT กระทบน้อยกว่า เนื่องจากโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย คือ มาจากธุรกิจร้านอาหาร ส่วนรายได้จากโรงแรมส่วนใหญ่มาจากโรงแรมในต่างประเทศ

กลุ่มอาหาร CPF มีรายได้เป็นเงินหยวน 25% ของรายได้รวม ค่าเงินบาท/หยวนแข็งค่า ทำให้แปลงรายได้เป็นบาทได้น้อยลง ขณะที่ธุรกิจในจีนแทบไม่ได้รับผลกระทบเพราะมีการซื้อขายภายในนั้นอยู่แล้ว!!

อินเด็กซ์ 51