ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 11 ก.พ.63 ปิดที่ 1,523.93 จุด ลดลง 11.31 จุดมีมูลค่าการซื้อขาย 52,619.14 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 548.02 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 31.25 บาท บวก 1.75 บาท, GPSC ปิด 77 บาท ลบ 0.75 บาท, PTT ปิด 43 บาท ลบ 0.50 บาท, AOT ปิด 70.50 บาท ลบ 1 บาท และ ADVANC ปิด 196.50 บาท ลบ 3 บาท ตลาดลงแรงจากแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์และโรงกลั่นกดดันดัชนี

บล.เอเซียพลัส ระบุเตรียมปรับลดประมาณการกำไรกลุ่มธนาคารลง อีกครั้ง หลัง ธปท. เตรียมปรับปรุงโครงสร้างค่าธรรมเนียม ครอบคลุม 200- 300 ผลิตภัณฑ์และทุกกลุ่มลูกค้าและคาดออกเกณฑ์ใหม่ในไตรมาส 3 ปีนี้

โดยก่อนหน้านี้ ได้ปรับลดกำไรกลุ่มธนาคารลงไปแล้ว 5% มาอยู่ที่ 186,412 ล้านบาท จากการปรับลดดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับการลดดอกเบี้ยนโยบาย

ทั้งนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง 1% จะกระทบกำไรสุทธิลดลง 0.7% จากประมาณการเดิมที่คาดว่ากำไรปีนี้อยู่ที่ 186,412 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปี 62 มีรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ย 20% ของรายได้รวม โดย KBANK มีสัดส่วน 23% ของรายได้รวม, BBL มีสัดส่วน 21% ของรายได้รวม, KTB มีสัดส่วน 18.5% โดยหลักๆ เป็นค่าธรรมเนียมบริการบัตร และบริการอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ SCB มีสัดส่วน 18% ของรายได้รวม

ขณะที่ธนาคารที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อ คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ หากพิจารณาจากโครงสร้างค่าธรรมเนียม โดย TISCO มีสัดส่วน 32% และ KKP มีสัดส่วน 24% ของรายได้รวม

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคาร “น้อยกว่าตลาด” เนื่องจากแนวโน้มกำไรปีนี้จะ Underperform กำไรตลาดรวมปี 63 โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าจะทรงตัวจากปี 62 รวมถึงคุณภาพสินทรัพย์ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวยังต้องเฝ้าระวัง

สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุนคือ BBL ให้ราคาเป้าหมาย 212 บาท มีจุดแข็งจาก Coverage Ratio สูงสุดในกลุ่มที่ระดับ 220% พร้อมรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ราคาได้มีการปรับฐานไปพอสมควรแล้ว จนมี PBV 0.6 เท่า และ PER 8 เท่า ต่ำสุดในกลุ่ม พร้อมคาดหมาย Div yield ราว 4.4% ต่อปี

ตามมาด้วย KKP ให้ราคาเป้าหมาย 79.5 บาท โดยได้เปรียบในภาวะที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง ขณะที่คาดมี Div Yield ราว 6.5% ต่อปี.

อินเด็กซ์51