ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 30 มี.ค.63 ปิดที่ 1,087.82 จุด ลดลง 11.94 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 41,187.93 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,022.64 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 29 บาท ลบ 1 บาท, BAM ปิด 18.80 บาท บวก 0.20 บาท, ADVANC ปิด 198 บาท ลบ 1 บาท, KBANK ปิด 85 บาท ลบ 4.25 บาท และ AOT ปิด 49.75 บาท ลบ 0.75 บาท

บล.ทิสโก้ มองตลาดหุ้นเดือนมีนาคม ระบุว่า ตลาดหุ้นโลก (MSCI World Index) เข้าสู่ภาวะหมีอย่างรวดเร็ว หลังดัชนีทั่วโลกปรับตัวลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุด ขณะที่ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค.ถึงปัจจุบันหุ้นไทยปรับตัวลงมาแล้ว 18% แตะระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 8 ปี และภายในเดือนเดียวราคาหุ้นบางตัวปรับลงมากกว่า 50%

ท่ามกลาง COVID-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเพียงใด และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร ดังนั้น การเลือกหุ้นที่น่าลงทุนตอนนี้ต้องไม่ใช่แค่ “ราคาถูก” เพราะขณะนี้ของถูกเต็มตลาด!!

แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องหาให้เจอคือ “หุ้นที่ดี” โดยวิธีพิจารณาหาหุ้นที่ดีนั้น ควรต้องดูถึงกระแสเงินสดของบริษัทเป็นอันดับแรก รองลงมาคือลักษณะธุรกิจ, ความเป็นผู้นำ, ความได้เปรียบทางธุรกิจ และกำไรเติบโตต่อเนื่อง

นอกจากนี้ หุ้นที่เลือกลงทุนควรเคยผ่านวิกฤติต่างๆมาแล้วเพื่อพิสูจน์ถึงฝีมือในการบริหาร และอันดับสุดท้ายควรพิจารณาว่าขณะนี้เป็นโอกาสในการลงทุนหรือไม่ โดยทิสโก้ได้สร้างเกณฑ์คัดกรองหุ้นดังนี้ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนมากกว่า 1 เท่า, อัตราส่วนหนี้ต่อทุน (D/E) น้อยกว่า 1 เท่า, มีกระแสเงินสดสูง

ส่วนการประเมินมูลค่าหุ้นที่น่าสนใจ ดูความสัมพันธ์ระหว่าง ROE, PER และ PBV ถูกกว่าตลาดหรือค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม รวมทั้งอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดีกว่าตลาด หรือให้อัตราเงินปันผลมากกว่า 5% และราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันปรับตัวลงมากกว่าตลาด หรือลงมากกว่า 30%

พบหุ้นที่น่าสนใจ ดังนี้ VNT (เป้าพื้นฐานของ Bloomberg Consensus 30.77 บาท), SAT (เป้าพื้นฐาน 15.28 บาท), PTTEP (พื้นฐาน 93.79 บาท), STANLY (พื้นฐาน 190.67 บาท) และ PYLON (พื้นฐาน 7.05 บาท) เป็นหุ้นที่มีภูมิคุ้มกันสูง คาดว่าจะสามารถต้านภาวะวิกฤติ COVID-19 ได้เป็นอย่างดี

คาดหวังว่าราคามีโอกาสปรับขึ้น (Upside) สูงกว่า 40% ขึ้นไป!!