ดัชนีหุ้นไทย วันที่ 18 พ.ค.64 ปิดที่ 1,566.80 จุด เพิ่มขึ้น 17.64 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 98,214.66 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,746.19 ล้านบาท

บล.เอเซียพลัส ปรับลดประมาณการ GDP Growth ปี 64 ลงมาอยู่ที่ 1.7% (เดิม 2.6%) ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ที่ประกาศออกมาแล้วถึงปัจจุบัน 95% ของ Market Cap พบว่าสูงถึง 2.56 แสนล้านบาท สูงกว่า Consensus คาดการณ์ถึง 37% สาเหตุหลักมาจากราคาสินค้า Commodity ที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่โครงสร้างกำไรของ บจ.ไทยมีองค์ประกอบที่เกี่ยวเนื่องกับ Commodity 35-40% ของโครงสร้างกำไรรวม

เบื้องต้นเอเซียพลัสคาดว่าจะปรับเพิ่ม EPS ปี 64 ขึ้นเป็น 71.20 บาท/หุ้น ประเมินกำไร บจ.ที่ 8.05 แสนล้านบาท

หากคงระดับ SET Index เป้าหมายไว้ที่ 1,670 จุด มีค่า Market Earning Gap 3.8% ถือเป็นดัชนีที่น่าลงทุน ซึ่ง Conservative สำหรับปัจจัยที่ต้องระวังเรื่อง Covid-19

โดยภาพรวมกำไร 1Q64 ที่ออกมาดูดีหนุนให้ฝ่ายวิจัยฯทยอยปรับประมาณการกำไรปี 64 ขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. ถึงปัจจุบัน ดังนั้น ภาพรวม บจ.ที่มีประสิทธิภาพในการทํากําไรที่ดีขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นย่อตัวลงมาตอบรับความกังวล COVID-19 ระลอกใหม่มาในระดับหนึ่งแล้ว ถือว่าเป็นจังหวะดีในการเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง

กลยุทธ์แนะนำหุ้นที่แนวโน้มกําไรที่ดูดีหนุนด้วยปัจจัยบวกเฉพาะตัว อย่าง STEC (เริ่มมีโครงการทยอยเปิดประมูล เป็นกระแสที่ดีต่อหุ้นรับเหมาฯ), MINT (ได้แรงหนุนจากประเทศยุโรป รวมถึงไทยทยอยเปิดเมืองมากขึ้น) และ SCCC (ได้แรงหนุนจาก Fund Flow เนื่องจากเป็นหุ้นที่ถูกคัดเข้าดัชนี MSCI Global Small Cap.) เป็น Toppick

ขณะที่ บล.โกลเบล็ก ประเมินหุ้นไทย Sideway Down เหตุขาดปัจจัยใหม่หนุน ขณะที่แรงกดดันหลักยังคงเป็นตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่สูงขึ้น ส่อแววกระทบเศรษฐกิจในประเทศช่วงที่เหลือของปีนี้ ให้กรอบดัชนี 1,500-1,570 จุด

แนะกลยุทธ์ลงทุน 12 หุ้นเด่นได้ประโยชน์ผ่อนคลายร้านอาหารสามารถนั่งทานได้ เช่น ZEN–M และ AU รวมทั้งหุ้นที่เข้าคำนวณ MSCI Global Standard ได้แก่ CBG, SCGP หุ้นที่เข้าคำนวณ MSCI Global Small Cap. ได้แก่ ACE, PSL, RCL, SCCC, SINGER, SYNEX, TTA และ TOA ซึ่งจะมีผลวันที่ 27 พ.ค.นี้!!

อินเด็กซ์ 51