* จริง ๆ เดี๊ยนไม่อยากพูดถึงประเด็นที่เป็นลบกับตลาดหุ้นไทยสักเท่าไหร่! แต่ข่าวสารที่พรั่งพรูออกมาในมุมที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจมันเยอะเหลือเกิน จึงต้องอธิบายการเด้งกลับของดัชนีขึ้นมาปิดที่ 1,566.80 จุด บวกไป 17.64 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9.82 หมื่นล้านบาท น่าจะเป็นการซื้อกลับช่วงสั้น ๆ เพื่อรอลุ้นข่าวดีชิ้นใหม่? ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตลาดหุ้นต่างประเทศไปโดยปริยายไงล่ะคะ

* วันนี้จึงต้องถามตรง ๆ อีกครั้งว่า วันนี้เราลงทุนหุ้นมีความคาดหวังผลงานไตรมาส 2 จะออกมาดีกว่าไตรมาส 1 ใช่ไหม? เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ “โมนิก้า” คงต้องกล่าวคำว่า ใสเจีย..เสียใจ อย่างสุดซึ้ง หลังข้อมูลที่มีการพูดถึงกันปาว ๆ ในช่วงนี้มีแต่เรื่องผลงานงวดนี้น่าจะพลาดเป้า เพราะคนส่วนใหญ่ของทั้งประเทศกระเป๋าแฟบกันถ้วนหน้า ทำให้เงินในระบบเศรษฐกิจเกิดอาการเครื่องสะดุดชั่วคราวพะยะค่ะ

* เมื่อข้อมูลออกมาในมุมที่เป็นลบกับตลาดหุ้น “โมนิก้า” ก็มีความจำเป็นที่ต้องไล่เรียงสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตแบบละเอียดยิบ โดยเฉพาะในมุมของฝรั่งหัวทองที่แสดงพฤติกรรมทิ้งหุ้นหนัก มันคือภาพสะท้อนการโยกเงินออกจากตลาดหุ้นที่ชัดเจนสุด และนับเฉพาะเดือน พ.ค. มียอดทิ้ง 2.13 หมื่นล้านบาท แต่ หรือมองตั้งแต่ต้นปีจะเห็นตัวเลขปูดไป 5.44 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นตัวแปรที่ทำให้หุ้นไทยต้องป้วนเปี้ยนบริเวณ 1,550 จุดต่อไปเจ้าค่ะ

* คล้ายกับการวิ่งขึ้นของ XPG อย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา ล้วนมาจากสตอรี่บิ๊กเบิ้มที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่า นี่คือหุ้นซุปเปอร์โกรทที่มาแรงของปี ผสานกับมีข่าวหลุดออกมาตามห้องค้าบ่อย ๆ เลยกลายเป็นหุ้นที่ขาลุยเทรดกันอย่างระห่ำบ้าเลือด จนค่า PE ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 270 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นในกระดานยืนปิดที่ 7 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 3.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 499 ล้านบาท แบบนี้..น้องโมบอกได้แค่ว่า งบไตรมาส 2 ออกเมื่อไหร่..เดี๋ยวรู้กันนะจ๊ะ

* เช่นเดียวกับในรายของหุ้นเสือดำ ITD กระโจนขึ้นมาปิดที่ระดับ 2.16 บาท บวกไป 0.43 บาท หรือขึ้นไป 24.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.70 พันล้านบาท ทั้งที่ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นเนื้อเป็นหนัง “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟน ๆ ประเมินสถานการณ์ของหุ้นตัวนี้จะดีขึ้นอย่างบูรณาการหรือเปล่า? เพราะกำไรที่โชว์หราในไตรมาส 1 ไม่สะท้อนการทำกำไรทั้งปี บวกในอดีตเคยมีเหตุการณ์ “เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย” ให้เห็นมากมาย เลยทำให้หุ้น “แก้ขัดยามเหงา” นะตัวเอง

* ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องหวนกลับมามองหุ้น BAM เพื่อชี้ให้เห็นการเด้งขึ้นมาปิดที่ระดับ 18.20 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 2.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 227 ล้านบาทอีกครั้ง หลังกำไรที่โชว์ออกมาอยู่ในช่วงถดถอยเต็มตัว แถมยังมาเจอกับภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเล่นงานเข้าอีกหนึ่งดอก เดี๊ยนจึงมองไม่เห็นโอกาสที่หุ้นจะผงกหัวอย่างบูรณาการ จึงอยากให้แฟน ๆ ประเมินสถานการณ์ของหุ้นต่อจากนี้จะ “ขึ้นยาว” หรือ “ลงยาว” กันแน่..อิอิอิ

* ส่วนรายที่ชอบมากับข่าวลือ และมักไปกับข่าวลืออย่างเช่นหุ้น BWG ก็เป็นช็อตเด็ดกีฬามันของคนที่ชอบเสี่ยงตายเข้ามาเล่นเป็นประจำ “โมนิก้า” เลยไม่แปลกใจที่คนเล่นส่วนใหญ่จะมีความคิดออกไปในแนว “ลุกช้าจ่ายรอบวง” เพราะธรรมชาติของหุ้นกะโหลกกะลามักไม่มีอะไรจับต้องได้สักอย่าง หุ้นเลยมอบตัวด้วยการยืนปิดที่ 0.82 บาท ลบไป 0.03 บาท หรือลงไป 3.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 400 ล้านบาทน่ะสิ

* สำหรับรายที่เข้าข่ายเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด คงต้องมองไปที่หุ้นเก็งกำไรไฟแรงเว่อร์อย่าง SABUY เป็นลำดับถัดมา เพราะการขึ้นมายืนปิดที่ 7 บาท บวกไป 1.10 บาท หรือขึ้นไป 18.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 462 ล้านบาท มันมาจากโครงการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเป็นหลัก ขณะที่กำไรจะมาตามนัดหรือเปล่า? ยังไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนได้สักที เดี๊ยนจึงต้องเอ่ยทักท้วงตามประสาคนสอดรู้พะยะค่ะ

* เรื่องร้อน ๆ ทำให้เดี๊ยนต้องเอ่ยถึงหุ้นอย่าง EFORL และ DIMET ซึ่งมีชนักติดหลังด้วยเครื่องหมาย C กันสักหน่อย! เพราะสถานการณ์ของหุ้นค่อนข้างขัดแย้งกับสภาพความมั่นคงของธุรกิจ (ทุนน้อย ถอยจม) “โมนิก้า” จึงเกรงว่า การขึ้นมาปิดที่ 0.11 บาท บวกไป 0.01 บาท หรือขึ้นไป 10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 121 ล้านบาท และอีกรายขึ้นมาปิดที่ 0.34 บาท บวกไป 0.07 บาท หรือขึ้นไป 25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 83 ล้านบาท อาจเป็นการพาคนไปตายบนดอยเสียกระมัง!..แถมทั้งสองตัวก็เคยมีประวัติ โชกเลือด..อุ๊ย..โชกโชน เลยทำให้หนูขนแขนสแตนด์อัพ..อิอิอิ