April 18, 2024   3:33:21 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > SCCเจอพิษปิโตรเคมีทรุดกำไรลด26%
 

P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
วันที่: 26/10/2005 @ 14:39:32
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SCC กำไรไตรมาส 3 ลดลง 26% เหตุธุรกิจปิโตรเคมี ได้รับผลกระทบหลังราคาวัตถุดิบเนฟทาพุ่งสูงกว่าราคาขายพลาสติก ส่วนไตรมาส 4 คาดว่าทรุดตัวต่อเนื่อง เพราะมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงาน 35 วันแต่ระยะยาวได้รับผลดีจากเมกะโปรเจ็ก

วันนี้(26ต.ค.)บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)หรือ SCC เตรียมประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 โดยงานจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ระบุว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 ของ SCC คาดว่าปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยยอดขาย 55,013 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน 7,135ล้านบาท ลดลง 12% จากไตรมาส 2 และลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 5.95 บาท สาเหตุกำไรปรับตัวลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากความสามารถในการทำกำไรธุรกิจปิโตรเคมีลดต่ำลงมาก โดยต้นทุนวัตถุดิบเนฟทา ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาขายเม็ดพลาสติกทั้ง PE และ PP

ส่วนไตรมาส 4 คาดว่าผลประกอบการ และกำไรยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะธุรกิจปิโตรเคมีจะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานเป็นเวลา 35 วัน ทำให้ยอดขายบางส่วนอาจหายไปอย่างไรก็ดีไตรมาส 3 SCC ได้มีการผลิตสินค้าเม็ดพลาสติกชนิด PE และPP เป็นจำนวนมาก เพื่อชดเชยกับการหยุดซ่อมบำรุงรักษาโรงงานไตรมาส 4 นี้

สำหรับธุรกิจปูซีเมนต์ ซึ่งความต้องการในประเทศช่วงเดือนก.ค.-ส.ค.48 ยังคงขยายตัว 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยครึ่งปีแรกตลาดปูนซีเมนต์โต 11% ในขณะที่SCC โต 14% ดังนั้น SCC จะมียอดขายปูนซีเมนต์ในประเทศเท่ากับ 2.7 ล้านตันปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน แต่ทรงตัวจากไตรมาส 2 นอกจากนั้น คาดว่า SCC จะมียอดการส่งออกปูนซีเมนต์ประมาณ 2 ล้านตัว คิดเป็นอัตราการเติบโต 16%

อย่างไรก็ดีธุรกิจปูนซีเมนต์ระยะยาว คาดว่าจะได้แรงหนุนจากโครงการเมกะโปรเจ็กซึ่งจะทำให้ความต้องการปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นอีก 11 ล้านตันในช่วง 5 ปีข้างหน้าหรือคิดเป็น 2-2.2 ล้านตันต่อปี

ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ราคาแนฟทา ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติกของ SCC ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 530 เหรียญต่อตันหรือเพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อน และ 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ราคาขายเม็ดพลาสติกชนิด PE ยังคงทรงตัวอยู่ที่ 1,010 เหรียญต่อตันเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน แต่ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเม็ดพลาสติกชนิด PP ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 1,100 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน และ 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ปัจจุบันราคาขายเม็ดพลาสติกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาขายพลาสติกชนิด PE อยู่ที่ 600 เหรียญต่อตัน และ PP อยู่ที่ 610 เหรียญต่อตันอย่างไรก็ดีในระยะยาวธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น จะช่วยลดความผันผวนของราคาปิโตรเคมี

ส่วนธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์ คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ทรงตัวจากไตรมาส2 แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ SCC ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพของบริษัทย่อย UPPC และ TCP ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้คงที่ได้ ทั้งนี้ราคาเหมาะสมสำหรับ SCC อยู่ที่ 270 บาทต่อหุ้น โดยซื้อขาย PE ที่ระดับ10 เท่า

ที่มา:
ข่าวหุ้น

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com