April 25, 2024   9:49:07 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เปิดฟ้าส่องโลก มาเลเซีย
 

magbandang
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 87
วันที่: 04/11/2005 @ 09:43:37
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เปิดฟ้าส่องโลก มาเลเซีย โดยดร.นิติภูมิ นวรัตน์

----- Original Message -----

> > >เปิดฟ้าส่องโลก มาเลเซีย โดยดร.นิติภูมิ นวรัตน์
> > >
> > >ขออนุญาติหยิบยกบทความของ ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ มาให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ
> > >
> > >ตอนหนึ่ง
> > >-----------
> > >นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลงไปแก้ไขปัญหา 3
> จังหวัดภาคใต้ด้วยตัวเอง
> > >ผมได้ดูภาพข่าวทางโทรทัศน์ ดูจบปุ๊บ ก็นึกได้ปั๊บเลยครับว่า
> > >นี่คือวิธีแก้ไขปัญหาที่ดีและ ถูกต้องที่สุด
> > >การลอบทำร้ายข้าราชการและประชาชนผู้บริสุทธิ์ของโจร
> > >ก็ต้องเจอกับความกล้าหาญชาญชัยของผู้นำ
> > >เมื่อผู้นำประเทศแสดงความกล้าหาญให้ประจักษ์
> > >หน้าที่ของเราประชาชนคนไทยทั้งประเทศก็ควรต้องยอมเป็นเครื่องมือของรัฐบาล
> > >เพื่อช่วยกันนำความสงบกลับมาสู่ประเทศไทยให้ไวที่สุด
> > >
> > >ผมหงุดหงิดกับคำให้สัมภาษณ์ของ รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย กรณีคนไทย 131 คน
> > >ที่ข้ามไปมาเลเซียเต็มที อ่านคำให้สัมภาษณ์ของท่านแล้ว
> > >นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคำพูดรัฐมนตรีของประเทศที่มีพรมแดนประชิดติดกัน
> > >มาเลเซียนั้นปัจจุบันกลายเป็นประเทศเจ้าปัญหา เดี๋ยวมีปัญหากับสิงคโปร์
> > >เดี๋ยวมีปัญหากับอินโดนีเซีย ฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันหลายรอบ วันนี้
> > >คำพูดของท่านจะมีปัญหากับไทยเข้าให้แล้ว
> > >
> > >มาเลเซียน่าจะทำตัวได้เรียบร้อยกว่านี้ ท่านควรนึกว่า
> > >ถึงอย่างไรเราก็ไม่สามารถ ย้ายประเทศไปอยู่ในที่ห่างไกลกันได้
> > >เราต้องมีพรมแดนประชิดติดกันต่อไปอีก เป็นร้อยหรือนับพันปี
> > >รุ่นลูกรุ่นหลานเหลนโหลนของเรา ก็ยังจะต้องอาศัยอยู่ในแหลมนี้
> > >ปัญหาที่ผู้ไม่หวังดีก่อขึ้น
> > >จะทำให้คนรุ่นหลังของเราอยู่ร่วมแหลมกันอย่างไม่มีความสุข
> > >หากความขัดแย้งยังขยายบานปลายออกไป ให้เราทั้งสองประเทศเก่งกาจปานใด
> > >หาเงินเข้าประเทศได้มากขนาดไหน
> ก็ต้องเอาไปถมการรบพุ่งกันอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
> > >
> > >ฟังคำให้สัมภาษณ์ของผู้คนในคณะผู้นำของรัฐบาลมาเลเซียบางท่าน
> > >ทำให้ผมระลึกนึกถึงความเป็นผู้ดีของนายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย
> >
>
>ที่ผู้คนมาเลเซียไม่ว่าหัวหงอกหัวดำต่างให้ความสำคัญว่าท่านเป็นบิดาแห่งเอกราช
> > >ฯพณฯ ตนผมอับดุล ราห์มาน อดีตหัวหน้าพรรคแนวร่วมองค์การชาตินิยมมลายู
> > >ที่คนมาเลย์เรียกว่าอัมโน
> > >ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำในการต่อรองกับรัฐบาลอังกฤษ
> > >จนกระทั่งท่านทั้งหลายสามารถประกาศเอกราชให้ประเทศของท่านได้เมื่อ
พ.ศ.2500
> > >
> > >เด็กรุ่นหลังของมาเลเซียบางคนอาจจะไม่ทราบว่า บิดาแห่งเอกราชของท่านนั้น
> > >มีมารดาเป็นคนไทย
> รัฐไทรบุรีเองก็เคยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของราชอาณาจักรไทย
> > >เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดี
> > >ไม่เคยมีคนไทยคนไหนประกาศว่าอยากจะได้แผ่นดินในอดีตของไทยคืนมาเลย
> > >ทั้งๆที่ไทรบุรี ปะลิสและสตูลนั้น สมัยก่อนรวมกันเป็นมณฑลเทศาภิบาลไทรบุรี
> > >สุลต่านอับดุล ฮามิด
> > >ก็เคยทรงพระยศข้าราชการไทยเป็นเจ้าพระยาฤทธิสงครามรามภักดี
เจ้าพระยาไทรบุรี
> > >
> > >อังกฤษกับไทยทำสนธิสัญญากันเมื่อ พ.ศ.2452
> > >รัฐมลายูตอนเหนือก็จึงเลยพ้นอ้อมอกของไทย ไปอยู่กับอังกฤษ
ซึ่งมีทั้งไทรบุรี
> > >ปะลิส กลันตัน และตรังกานู
> > >
> > >แม้ว่าจะพ้นอ้อมอกไทยไปแล้ว แต่สัมพันธภาพระหว่างรัฐไทรบุรีกับไทย
> > >ก็ยังนับว่าใกล้ชิดกันมาก เจ้านายจากไทรบุรีไม่เคยลืมข้าแดงแกงร้อน
> > >พวกท่านยังคงมาเยือนไทยอยู่เสมอ
> > >หลายท่านยังเดินทางมาศึกษาหาความรู้ที่กรุงเทพฯซะด้วยซ้ำ
> > >
> > >หนึ่งในบรรดาเจ้านายจากรัฐไทรบุรีที่เดินทางมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ
ก็คือ
> > >ฯพณฯ ตนผมอับดุล ราห์มาน ท่านเข้าศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จนถึง
> พ.ศ.2458
> > >ถึงได้กลับไปเรียนที่ปีนัง และไปเรียนต่อที่อังกฤษในภายหลัง
> > >
> > >มาเลเซียมีอดีตอันแสนขมขื่นกับการถูกคนขาวปกครอง ท่านไม่ได้ถูกฝรั่งปกครอง
> > >อย่างธรรมดา แต่ถูกแบ่งแยกและปกครองซะด้วยซ้ำ มาเลเซียเป็นดินแดนพหุสังคม
> > >ที่มีทั้งชุมชนคนมลายู คนจีนและอินเดีย แตกต่างกันทั้งอาชีพ ศาสนา
> > >ภาษาพูดและวัฒนธรรม นโยบายก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ของอังกฤษก็คือ
> > >แบ่งแยกและปกครอง แบ่งให้คนมลายูเป็นผู้คนชนชั้นปกครอง
> > >และคนจีนให้มีบทบาททางเศรษฐกิจ
> > >
> > >กรุณาอย่าปฏิเสธ ว่ามาเลเซียในขณะนั้นไม่ทุกข์
> > >ถ้าใครไม่เชื่อลองไปอ่านงานเขียนของบิดาแห่งเอกราชของมาเลเซีย เรื่อง
> > >Viewpoints ท่านสารภาพเองว่าท่านเกลียดชังการมีเจ้านายผิวขาวเป็นยิ่งนัก
> > >
> > >ไม่อยากจะเขียนอะไรอย่างนี้เลยครับ
> > >แต่เห็นคนไทยทั้งที่นับถือศาสนาพุทธและอิสลาม ถูกฆ่าตายทุกวัน
> > >พร้อมทั้งได้อ่านคำให้ สัมภาษณ์ของ รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย
> > >ทำให้ผมต้องหยุดเขียนเรื่องจอร์เจียเอาไว้ชั่วคราว
> > >และยกประวัติศาสตร์บางตอนของมาเลเซียและไทยขึ้นมาเล่ารับใช้
> > >ด้วยความหวังว่าจะมีใครแปลเอาไปให้ รมว.ต่างประเทศมาเลเซียได้อ่าน
> > >
> > >อ่านเพื่อประดับสติปัญญาของท่านเอาไว้บ้าง.
> > >
> > >ตอนสอง
> > >-------------
> > >เมื่อวาน นิติภูมิรับใช้ถึงประวัติของมาเลเซียในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ฯพณฯ
> > >ตนผมอับดุล ราห์มาน บิดาแห่งเอกราชของมาเลเซีย และก็ยังรับใช้ไปด้วยว่า
> > >มารดาของ ฯพณฯ ตนผมอับดุล ราห์มาน นั้น ท่านเป็นคนไทย
แม้แต่ท่านตนผมอับดุล
> > >ราห์มาน เอง ท่านก็เคยได้รับการ ศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ของไทย
> > >
> > >มาเลเซียเป็นประเทศที่มีชื่อเปลี่ยนแปลงไปมาหลายครั้ง
> > >สมัยที่ประกาศเอกราชจากชาติอังกฤษ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500
> > >มาเลเซียมีชื่อเป็นทางการว่า สหพันธ์มลายา
> ประเทศใหม่เอี่ยมถอดด้ามนี้มีเพียง
> > >9 รัฐ คือ ไทรบุรี ปะลิส กลันตัน ตรังกานู เประ สลังงอร์ ปะหัง
> เนกรีเซมบิลัน
> > >และยะโฮร์ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2504 ตนผมอับดุล ราห์มาน
> > >นายกรัฐมนตรีคนแรกของสหพันธ์มลายา ประกาศแนวความคิดอยากจะขยายดินแดน
> > >โดยการรวมเอาสิงคโปร์ ซาบาห์ ที่อยู่ในบอร์เนียวเหนือ บรูไน และซาราวัก
> > >เข้ามารวมกับประเทศใหม่ของตน ซึ่งดินแดนทั้ง 4 แห่งที่ว่านี่
> > >ตอนนั้นยังอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ
> > >
> > >สมัยนั้น มาเลเซียยังไม่มีเอกภาพแท้จริง ทั้งคนมาเลย์
> > >จีนและอินเดียยังเข้ากันได้ไม่สนิท ตีกันก็บ่อย ในเวลาเดียวกัน
> > >พวกฝ่ายซ้ายในสิงคโปร์แข็งแรงขึ้นทุกวัน สหพันธ์มลายากลัวว่าสิงคโปร์
> > >จะเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้าสิงคโปร์เป็นคอมมิวนิสต์ละก็ อันตรายกับตัวเองแน่
> > >น่าจะเอาสิงคโปร์มารวมเข้ากับตัวเองซะก่อนดีกว่า
> > >
> > >สหพันธ์มลายาในสมัยนั้น ทั้งกล้าทั้งกลัวในการไปเอาสิงคโปร์มาร่วมประเทศ
> > >กล้าก็คือ เห็นว่าในสิงคโปร์มีระบบเศรษฐกิจที่แข็งแรง รวมกันเมื่อใด
> > >มลายาก็จะแข็งแรงเพิ่มขึ้น ที่กลัวก็คือ สิงคโปร์มีคนจีนเยอะ
> > >รวมสิงคโปร์เข้ามาก็จะทำให้มลายามีxxxส่วนของคนจีนมากขึ้น
> > >ซึ่งพวกมาเลย์กลัวตรงนี้มาก แต่ก็มีหลายคนให้ความเห็นว่า ไม่เป็นไร
รวมเถอะ
> > >ถึงอย่างไรคนในซาบาห์ ซาราวัก และบรูไน ที่เราจะเอาเข้ามา รวมใหม่
> > >ก็มีคนเผ่าพันธุ์มาเลย์และนับถือศาสนาอิสลามทั้งนั้น
> > >แม้ว่าคนจีนจากสิงคโปร์จะเพิ่ม แต่xxxส่วนของคนมาเลย์จากดินแดนใหม่อีก 3
> แห่ง
> > >น่าจะเพิ่มมากกว่า
> > >
> > >ใต้สมองของผู้นำมาเลเซียตั้งแต่ยุคแรกแล้ว
> > >ที่เต็มไปด้วยความต้องการที่จะผนวกดินแดนอื่นมาเข้ากับประเทศของตนเอง
> > >โดยเฉพาะดินแดนที่มีผู้คนเชื้อสายมาเลย์และนับถือศาสนาอิสลาม
> > >
> > >พอข่าวว่ามลายาอยากจะได้ซาบาห์ ซาราวักและบรูไน แพร่กระจายขยายออกไป
> > >อินโดนีเซียก็ถึงกับโกรธจนหนวดกระดิก
> ส่งทหารเข้าไปในเกาะบอร์เนียวเหนือทันที
> > >ประธานาธิบดีมากาปากัลของฟิลิปปินส์ก็ไม่ยอมเช่นกัน
> มลายาก็จึงไปขอบารมีอังกฤษ
> > >ขอให้อังกฤษช่วยทั้งทางด้านการเมืองและการทหาร
> > >ทั้งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็จึงต้องยอมให้มลายา
> > >เอาดินแดนทั้งสองที่ว่านั้นไปรวมด้วยอย่างหน้าตาเฉย
> > >
> > >ที่แข็งแรงหน่อยก็คือบรูไน สุลต่านแห่งบรูไนไม่ยอมรวมกับมลายา
> > >ภายหลังจึงสามารถตั้งประเทศของตัวเองได้ โดยมีชื่อเต็มว่า
> > >เนการาบรูไนดารุสซาลาม
> > >
> > >สหพันธ์มลายา+สิงคโปร์+ซาบาห์+ซาราวัก=สหพันธ์ มาเลเซีย
หรือประเทศมาเลเซีย
> > >โดยสถาปนาประเทศใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2506
> > >ปีต่อมาก็มีการเลือกตั้งทั่วไป พรรคแนวร่วมของตนผมอับดุล ราห์มาน
ได้ที่นั่ง
> > >123 จาก 159 ที่นั่ง ในสภานิติบัญญัติ จึงตั้งรัฐบาลได้เป็นครั้งที่ 2
> > >ตนผมอับดุล ราห์มาน จึงเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศมาเลเซีย
> > >
> > >ตนผมอับดุล ราห์มาน เป็นหัวหน้าพรรคแนวร่วม นายลีกวนยิวคนจีน
> > >เป็นหัวหน้าพรรคกิจประชาคม หรือ Peoples Action Party
> > >ที่เดิมเคยเด่นดังในสิงคโปร์ ก็เข้ามาขยายฐานในมาเลเซีย
> > >พรรคกิจ-ประชาคมมีเป้าหมายทางการเมืองที่ชัดเจนว่า
> > >ต้องการเป็นคู่แข่งของพรรคแนวร่วม คนก็สนับสนุนนายลีกวนยิวมากขึ้นเรื่อยๆ
> > >
> > >พวกมาเลย์เชื่อว่า ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ลีกวนยิวคนจีนนี่แหละ
> > >จะเป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียเข้าสักวันหนึ่ง อย่ากระนั้นเลย
> > >เราตัดไฟเสียแต่ต้นลมดีกว่า
> > >
> > >ว่าแล้ว ตนผมอับดุล ราห์มาน ก็เสนอบัญญัติเพื่อขอแยกสิงคโปร์ออกจากสหพันธ์
> > >สภานิติบัญญัติที่มีคนมาเลย์เป็น ส.ส. มากกว่า
> ก็รีบรับรองญัตติในเดือนสิงหาคม
> > >พ.ศ. 2508
> > >
> > >สิงคโปร์จึงต้องออกมาจากประเทศมาเลเซีย
> ทั้งที่ตอนแรกถูกชวนเข้าไปร่วมเองแท้ๆ
> > >
> > >นี่แหละคือ อีกตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์มาเลเซีย.
> > >
> > >ตอนสาม
> > >----------------------
> >
>
>ผมอ่านนโยบายความมั่นคงที่รัฐบาลมาเลเซียเขียนไว้เพื่อใช้เป็นหลักในการบริหารป
> ระเทศ
> > >ท่านเขียนว่า...มาเลเซียจะดำเนินยุทธศาสตร์ทางการเมืองโดยยึด อาเซียน
> > >เป็นหลักในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ
> > >เพื่อให้มีการรับรองและปฏิบัติอย่างจริงจัง
> > >ที่จะให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันตก
> เป็นดินแดนเป็นกลางและสันติสุข
> > >เพื่อให้มาเลเซียปลอดภัยจากการถูกรุกรานจากภายนอก
> > >
> > >นอกจากข้อความในข้อแรกนี้แล้ว ก็ยังมีนโยบายด้านความมั่นคงอย่างอื่นอีก 3
> ข้อ
> > >อ่านแล้วนิติภูมิกิ๊กก๊อกก็เข้าใจเอาเองว่า
> > >มาเลเซียกลัวการเป็นไม้เรียวกิ่งเดียวโดดๆ
> เพราะกลัวโดนมหาอำนาจหักได้โดยง่าย
> > >แต่ถ้าไม้หลายกิ่งมารวมกันเป็นกำ มหาอำนาจก็จักหักยาก
> > >มาเลเซียจึงต้องการให้หลายประเทศมารวมกันเป็นกำไม้
> > >อยากจะใช้กลุ่มอาเซียนเป็นหลักในการต่อรองกับชาติมหาอำนาจต่างๆ
> > >
> > >นิติภูมิรู้เหมือนอย่างที่นายฮารุนหรือนายซาบู
> > >พลเมืองของมาเลเซียรู้นั่นแหละว่า อาเซียนประกอบไปด้วย ไทย เขมร ญวน ลาว
> พม่า
> > >บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ถ้ามาเลเซีย
> > >จะใช้อาเซียนเป็นฐานต่อรองกับมหาอำนาจจริงๆ
> > >มาเลเซียก็ต้องจริงใจกับเพื่อนบ้านซักหน่อย
> > >อย่าให้มีเรื่องบ่อยครั้งเหมือนในอดีตที่มาเลเซียเคยบาดหมางกับอินโดนีเซีย
> > >ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์
> > >
> > >รมว.ต่างประเทศมาเลเซียพูดถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนกับไทย
> > >นิติภูมิใคร่จะขออนุญาตเรียนท่านว่า ในโลกนี้
> > >ก็มีเพียงท่านเท่านั้นที่โจมตีไทยในเรื่องนี้
> > >
> > >มาเลเซียซะอีกที่เคยโดนมากมายหลายประเทศด่าว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน
> > >ประเทศตะวันตกเคยรุมประณามหยามด่า อเมริกาก็เคยหยิบปัญหานี้ขึ้นมาพูด
> > >
> > >รมว.ต่างประเทศของมาเลเซียท่านทราบไหมครับ ว่าประเทศตะวันตกมองท่านยังไง
> > >พวกนั้นมองว่ารัฐบาลมาเลเซียใช้ Internal Security Act
> > >กฎหมายว่าด้วยความมั่นคงภายใน หรือ ISA เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
> > >ใครคัดค้านรัฐบาล รัฐบาลมาเลเซียจับยัดเข้าคุกได้โดยไม่ต้องไต่สวน
> > >อันนี้นี่แหละครับ ที่ต้องถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตัวจริง
> > >
> > >มาเลเซียออกมาตะโกนก่นโคตรตะวันตกอยู่บ่อยๆ ด่าอเมริกาว่าอย่ามาวิจารณ์
ISA
> > >เพราะนั่นมันเป็นเรื่องภายในประเทศของเรา ประเทศเจ้าไม่เกี่ยว
> > >
> > >มาเลเซียถูกใครต่อใครด่า
> > >แต่ก็ดีที่ยังมีมิตรแท้จากประเทศหนึ่งซึ่งยืนเคียงข้าง
> > >และคอยโต้ตอบพวกตะวันตกแทนมาเลเซียอยู่เรื่อย คือ ประเทศไทย
> > >โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนของไทย
> > >ไม่เชื่อท่านลองไปหาเปิดฟ้าส่องโลกย้อนหลังตั้งแต่ พ.ศ.2540
> > >จนถึงปัจจุบันเอามาอ่านดูก็ได้ มีแต่เชียร์มาเลเซียทั้งนั้น
> > >
> > >ที่เป็นเช่นนี้ เพราะต้องการจะยกระดับจากการที่เราสองประเทศมี
> > >?ความสัมพันธ์อันดี? ให้ขยับขยายกลายมาเป็น
?ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน?
> > >
> > >อีกอย่างหนึ่งซึ่งทำให้ผมเขียนเชียร์มาเลเซียมาตลอดก็คือ
> > >มาเลเซียเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทย เอาเฉพาะแค่ปีที่แล้วเพียงปีเดียว
> > >มูลค่าการค้ารวมระหว่างเราสองประเทศมีมากถึง 10,821.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
> > >ตีเป็นเงินไทยก็ตั้ง 428,375.69 ล้านบาท แต่ก่อนง่อนชะไร
> > >คนมาเลเซียชอบมาเที่ยวเมืองไทย คนไทยก็ชอบไปเยือนมาเลเซีย พ.ศ.2547
> > >เมื่อปีที่แล้วนี่เอง คนไทย ไปเที่ยวมาเลเซียมากถึง 1.5 ล้านคน
> > >คนมาเลเซียก็เข้ามาเที่ยวเมืองไทยในจำนวนไม่แพ้เช่นกัน
> > >
> > >ทุกวันนี้ มีนโยบายอุ้มโจรอุบัติขึ้นมา นายนโยบายบ้านี่แหละแหะครับ
> > >ที่ทำลายความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยกับมาเลเซีย
เมื่อคืนผมนอนฝันว่า
> > >ถ้ามาเลเซียเลิกหนุนคนผิด เหตุการณ์ทางใต้ของไทยก็จะสงบจบลงได้ง่าย
> > >และความสัมพันธ์อันดีก็จะกระชับกลับมาเหมือนเดิม
> > >
> > >ไทยกับมาเลเซียน่ะ เรามีความตกลงที่สำคัญต่อกันเป็นร้อยเรื่อง
> > >
> > >เรื่องหนึ่งซึ่งผมอยากจะเตือนความจำ รมว.ต่างประเทศมาเลเซียก็คือ
> > >ความตกลงที่ไทยและมาเลเซียลงนามกันเมื่อ 93 ปีมาแล้ว คือเมื่อวันที่ 20
> > >พฤศจิกายน พ.ศ.2455 และเป็นความตกลงฉบับแรกระหว่างประเทศของเราสอง
> > >นั่นก็คือ...
> > >
> > >ความตกลงว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
> > >
> > >ไม่ใช่ ความตกลงว่าด้วยการรักษาผู้ร้ายให้อยู่ในแดน.
> > >
> > >นิติภูมิ นวรัตน์
> > >
> > >อนึ่ง บทความนี้ไม่ได้ขอคุณ นิติภูมิ แต่ต้องการเอามาเผยแพร่
> > >ไห้ทุกท่านได้อ่าน เกิดผิดพลาด ทางกฎหมายแต่ประการใด ต้องขออภัยมา ณ
> > >ที่นี้ด้วยค่ะ
> > >ด้วยความเคารพ
> > >ลมหมุนวน
> > >
> > >ตอนที่ 4
> > >--------------------------------------------------------
> > >คุณสรพล เถระพัฒน์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
> > >ในฐานะประธานสหกรณ์ข้าราชการสหกรณ์ จำกัด
> > >ชวนนิติภูมิขึ้นไปพูดรับใช้ข้าราชการสหกรณ์ทางภาคเหนือ
> > >เกี่ยวกับสหกรณ์กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี ฯลฯ เสาร์
15
> > >ต.ค. มะรืนนี้ ที่โรงแรมแสนภูเพลส จ.เชียงราย เวลา 13.30-16.30 น.
> > >
> > >ไหนๆ นิติภูมิรับใช้ผู้อ่านท่านถึงมาเลเซียมาแล้ว 3 วัน
> >
>
>ก็ขออนุญาตเก็บเล็กผสมน้อยเรื่องของมาเลเซียรับใช้กันไปทั้งสัปดาห์เลยก็แล้วกั
> น
> > >ขอเริ่มด้วยว่ามาเลเซียมีพลเมืองน้อยกว่าเราเยอะ คนไทยมี 62 ล้าน
> > >ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหน นับถือศาสนาใด เราไม่เคยแบ่ง ทุกคน
> > >ทุกศาสนามีสิทธิในประเทศไทยเท่าเทียมกันทุกประการ
> > >
> > >มาเลเซียต่างจากไทยตรงที่พลเมืองมีสิทธิไม่เท่ากัน ที่นั่นให้
> > >เกียรติและให้สิทธิชาวภูมิปุตราที่มีอยู่ประมาณ 61.3%
> > >ใครจะเป็นภูมิปุตราจะต้องถือกำเนิดเกิดในมาเลเซีย
> > >และต้องนับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น นับถือศาสนาอื่นก็ไม่ได้สิทธิ์อันนี้
> > >
> > >แม้แต่พวกภูมิปุตราด้วยกัน ก็ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ ระดับแรก
> > >ที่เป็นภูมิปุตรา first class มีอยู่ 50.3%
> > >พวกนี้เป็นชาวมาเลเซียที่มีคุณสมบัติ 2 ข้อ คือ 1. เผ่าพันธุ์มาเลย์ และ
2.
> > >นับถือศาสนาอิสลาม ถ้าเป็นผู้คนชนชาติอื่น เผ่าพันธุ์อื่น
> > >ถึงแม้ว่าจะนับถือศาสนาอิสลาม ก็ไม่ได้รับสถานะเป็นภูมิปุตราชั้นหนึ่ง
> > >
> > >ส่วนพวกภูมิปุตราชั้นสอง หรือพวก second class นี่ จะมีอยู่ประมาณ 11%
> > >ของประชากรทั้งหมด
> > >
> > >นอกนั้นก็เป็นชาวมาเลเซีย ?เผ่าพันธุ์? จีน 23.9% อินเดีย 7.1% อื่นๆ 1.2%
> > >ส่วนพลเมือง ?สัญชาติอื่น? ที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีย มีอยู่ประมาณ 6.5%
> > >
> > >เพราะความที่มีการแบ่งเป็นคนชั้นนั้น ประเภทนี้ นับถือศาสนาโน้น
> > >ในประเทศของตนเอง มาเลเซียบางพวกก็จึงถึงเข้าใจผิดคิดว่าพลเมืองไทย
> > >จะต้องถูกแบ่งตามเผ่าพันธุ์และศาสนาอย่างเช่นในประเทศของตัวเอง
> > >เมื่อใต้สมองของมาเลย์บางพวกเข้าใจอย่างนี้ มีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อย
> > >ก็จะโทษว่าเป็นเพราะความต่าง ศาสนา ต่างเผ่าพันธุ์ พูดง่ายๆ ก็คือ
> > >เอาประสบการณ์ที่ทำกันจนชินในมาเลเซียมาโทษประเทศไทย
> > >
> >
>
>ผมเคยจ้างคนมาเลเซียเชื้อชาติจีนมาทำงานเป็นผู้ช่วยของผมที่สถาบันเอเชียและแอฟ
> ริกาศึกษา
> > >มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ทำอยู่นานพอสมควร สนทนากันแทบทุกวัน
> > >ผมก็จึงพอทราบว่าคนจีนในมาเลเซียนั้น
> > >ไม่ได้มีสิทธิมากมายเหมือนคนมาเลเซียที่เป็นชาวภูมิปุตรา
> > >อยู่กันอย่างเป็นพลเมืองชั้นสอง ชั้นสาม จริงๆ
> > >
> > >อัมโนกลุ่มที่มีอำนาจบริหารประเทศของมาเลเซีย
> > >มีนโยบายบริหารที่เน้นความเป็นชาตินิยม เมื่อวานผมเรียนว่า
> > >มาเลเซียต้องการใช้อาเซียนเพื่อให้มีอำนาจต่อรองกับมหาอำนาจตะวันตก
> > >วันนี้ขอเรียนเพิ่มเติมครับว่า
> > >เท่าที่สังเกตการกระดิกพลิกตัวของมาเลเซียในทวีปแอฟริกา
> > >และในภูมิภาคตะวันออกกลาง ผมมีความเชื่อว่า นอกจากอาเซียนแล้ว
> > >มาเลเซียยังต้องการพลังจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและกลุ่มประเทศอิสลาม
> > >เพื่อใช้ไปเป็นอำนาจต่อรองกับพวกมหาอำนาจตะวันตกด้วยเหมือนกัน
> > >
> > >การออกแอ็กชั่นต่อกรณีภาคใต้ของไทย 3 จังหวัดนั้น
> > >มาเลเซียอาจจะถือว่าตัวเองยิงปืนนัดเดียว ได้นกตกลงมาทั้งฝูง
> > >หากมีเหตุการณ์พลิกผันอย่างไม่คาดคิด มาเลเซียอาจจะได้ดินแดน เพิ่ม
> > >บางคนคิดอุบาทว์ คิดว่าถ้ามีรัฐใหม่เกิดขึ้นทางภาคใต้ ของไทยแล้ว
> > >มาเลเซียก็จะได้ใช้รัฐนี้เป็นรัฐกันชน
> > >เหมือนเช่นที่สาธารณรัฐเลบานอนสนับสนุนรัฐปาเลสไตน์
> > >เพื่อใช้ให้เป็นรัฐกันชนกับรัฐอิสราเอล
> > >
> > >การออกแอ็กชั่นต่างๆ ยังทำให้มาเลเซียได้ใจประเทศอิสลามเล็กๆ
> > >ที่อยู่กระจัดกระจายหลายภูมิภาคอีกบาน
> > >
> > >ผมเดินทางไปสาธารณรัฐอรับซีเรียหลายครั้ง
> > >ได้พบเจอพลเมืองไทยหลายคนในประเทศนี้ที่ถือหนังสือเดินทาง ของมาเลเซียด้วย
> > >คนไทยเหล่านั้นเกิดในไทย เป็นคนไทย มีพาสปอร์ตไทยแล้ว
> > >ทำไมมาเลเซียถึงต้องให้หนังสือเดินทางมาเลเซียอีกเล่มหนึ่ง
> > >และทำไมท่านเลือกให้เฉพาะคนไทยที่ไปศึกษาหาความรู้ในประเทศซีเรีย?
> > >
> > >ท่านมีนโยบายอะไรพิเศษเกี่ยวกับคนไทยผู้ไปเรียนที่ซีเรียหรือเปล่า?
> > >
> > >ตอนที่ 5
> > >------------------------------
> > >วันนี้คงเป็นวันสุดท้าย ที่นิติภูมิจะรับใช้ท่านถึงเกร็ดเล็กเกร็ด
> > >น้อยของมาเลเซีย เพื่อให้ท่านเห็นภาพอีกด้านหนึ่งของเพื่อนบ้านผู้
> > >อยู่ใกล้ชิดติดเรา
> > >
> > >ผู้อ่านท่านผู้เจริญ ก่อนหน้านั้นทะเลสุลาเวสีไม่มีความสำคัญอันใดนัก
> > >เป็นทะเลที่ไม่มีใครอยากได้ไว้ในครอบครอง ในทะเลนี้มีเกาะเล็กมากอยู่ 2
แห่ง
> > >คือ เกาะสิปาดันและเกาะลิกิตัน สองเกาะนี่แสนกระจอกงอกง่อย
> > >ไม่ค่อยมีใครอยากไปอยู่อาศัย แต่หลังจากที่มีการค้นพบนํ้ามันนอกชายฝั่ง
> > >เอาละซี ทีนี้วุ่นกันใหญ่ พ.ศ.2512 มาเลเซียประกาศเปรี้ยงเลยว่า
> > >เกาะสิปาดันและเกาะลิกิตันนั้นเป็นของข้า อ้า
> > >ดังนั้นทะเลสุลาเวสีที่มีนํ้ามันเยอะๆ ก็จะต้องเป็นของข้าตามไปด้วย
> > >
> > >อินโดนีเซียไม่ยอม มาเลเซียจึงลากอินโดนีเซียขึ้นศาลโลก
> > >
> > >มาเลเซียนำกรณีที่เคยมีคนมาเลเซียไปเก็บไข่เต่าบนเกาะทั้งสองมาอ้างต่อศาล
> > >อ้างแล้ว ทนายความมาเลเซียก็ไปงัดเอากฎควบคุมการเก็บไข่เต่า
> > >ขึ้นมาแสดงแถลงต่อผู้พิพากษาศาลโลกว่า อ้า
ถ้าเกาะทั้งสองไม่ใช่ของมาเลเซีย
> > >เราจะทะลึ่งออกกฎเก็บไข่เต่าทำไม ในอดีต
> > >เราก็ยังเคยสร้างประภาคารไว้บนเกาะทั้งสองนี่อีกด้วย
> > >
> > >หลังจากต่อสู้กันยาวนาน พ.ศ.2546 ศาลโลกก็พิพากษาให้มาเลเซียชนะ
> > >เมื่อมาเลเซียได้แผ่นดินเพิ่มขึ้นเป็นเกาะกระจิริดกระจ้อยร่อยอีก 2
เกาะแล้ว
> > >ก็เป็นผลให้ทะเลสุลาเวสีกลายเป็นของมาเลเซียไปด้วย
> > >จากนั้นมาเลเซียก็อนุญาตให้มีการสำรวจนํ้ามันในทะเลนี้ทันที
> >
>
>อินโดนีเซียทำได้แค่สั่งให้ผู้แทนของตนในกรุงเฮกโชว์สปิริตแสดงความยินดีต่อมาเ
> ลเซีย
> > >เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์พูดจาน่าสงสารว่า
> > >ที่อินโดนีเซียยอมเคารพกติกาของศาลโลกในครั้งนี้นั้น ไม่ใช่
> > >เพราะอินโดนีเซียเชื่อว่าเกาะทั้งสองเป็นของมาเลเซีย
> > >แต่เพราะอินโดนีเซียต้องการรักษาเสถียรภาพ สันติภาพ
> > >และความสงบเรียบร้อยในภูมิภาคอาเซียนต่างหาก
> > >
> > >เขียนรับใช้ให้เข้าใจกันง่ายๆก็คือ
> >
>
>อินโดนีเซียไม่อยากจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครในกลุ่มอาเซียนให้อายชาวโลก
> > >
> > >ระหว่าง พ.ศ.2523-2525 นิติภูมิเรียนปริญญาตรีศิลปศาสตร์
> > >ทางรัฐศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือการทูต ที่มหาวิทยาลัย
> รามคำแหง
> > >ผมต้องศึกษา Sungai Johor Water Agreement 1961 and 1962 ด้วย
> > >เป็นข้อตกลงที่มาเลเซียขายน้ำดิบให้สิงคโปร์ โดยข้อตกลง ค.ศ.1961
จะสิ้นสุด
> > >ค.ศ.2011 และข้อตกลง ค.ศ.1962 จะสิ้นสุด ค.ศ.2061 ผมไม่เคยนึกเลยนะครับว่า
> > >แค่เรื่องสิงคโปร์ขอน้ำไปใช้ดื่มใช้กิน
> > >ภายหลังมาเลเซียจะใช้เป็นปัญหามาบีบขอสตางค์เพื่อนเพิ่ม
> > >
> > >ตามข้อสัญญาที่ตกลงกันไว้แต่ดั้งเดิม
มาเลเซียต้องส่งน้ำดิบให้สิงคโปร์วันละ
> > >350 ล้านแกลลอน ในราคา 1,000 แกลลอนต่อ 3 เซนต์
> > >เมื่อเอาน้ำดิบไปพัฒนาเรียบร้อย
> > >สิงคโปร์ก็สามารถเอาไปใช้ในบ้านตัวเองได้ส่วนหนึ่ง
> ส่วนน้ำที่กรองแล้วอีกวันละ
> > >37 ล้านแกลลอน สิงคโปร์จะต้องส่งกลับมาให้รัฐยะโฮร์ในราคา 1,000 แกลลอนต่อ
> 50
> > >เซนต์ ระยะหลัง คนมาเลเซียกดดันรัฐบาล
> > >ให้เพิ่มราคาค่าน้ำดิบหรือไม่ก็ไม่ต้องส่งน้ำดิบไปให้คนสิงคโปร์ใช้
> > >แรกๆสิงคโปร์ก็พยายามใช้การเจรจา แต่ตอนหลัง ครม.ของมาเลเซีย
> > >มีมติให้หยุดการเจรจา รมว.ต่างประเทศคนที่ชื่อซัยยิด หะมิด อัลบาร นี่แหละ
> > >เป็นคนประกาศว่า ?จะไม่มีการเจรจากันอีกแล้ว?
> > >
> > >พ.ศ.2546 นิติภูมิได้รับชวนจากรัฐบาลสิงคโปร์ให้ไปเยือนสิงคโปร์
> > >และให้ไปเยือนโรงงานผลิตน้ำที่เรียกว่า Neo Water
แม้แต่น้ำสกปรกจากห้องส้วม
> > >สิงคโปร์ก็ยังต้องนำมากรองใหม่เพื่อให้สามารถดื่มได้
> > >ผมยังได้ทดลองดื่มกับเขาด้วย
> > >
> > >ปีนั้นเองที่ผมได้รับหนังสือชื่อ Water Talks? If Only It Could.
> > >แปลเป็นไทยก็คงจะได้ว่า เจรจาเรื่องน้ำหรือ? ถ้าน้ำพูดได้
> > >ละก็...ซึ่งเป็นหนังสือที่รัฐบาลสิงคโปร์อธิบายเรื่องน้ำและแจกจ่าย
> > >ไปถึงนักการทูตและผู้คนในรัฐบาลมาเลเซียได้อ่าน
> > >
> > >มาเลเซียเสียชื่อเสียงขนาดหนัก ขนาดต้องใช้เงินมหาศาลลงโฆษณาตามสื่อสากล
> > >เพื่ออธิบายเรื่องนี้ต่อสังคมโลกครั้งแล้วครั้งเล่า จะตอบโต้กับมาเลเซีย
> > >ท่านจะต้องใช้เทคนิคทางสื่อสารมวลชนชั้นสูง
> > >มาเลเซียถึงจะไม่กล้าอือกล้าหือกับเราอีก วันหน้าถ้ามีโอกาส
> > >ผมจะนำกรณีที่มาเลเซียทำขี้เพื่อนบ้านอีกเป็นสิบกรณีมารับใช้ครับ
> > >
> > >สำหรับคืนนี้ นิทราราตรีสวัสดิ์ ลาไปก่อนครับ สวัสดีครับ.
> > >
> > >นิติภูมิ นวรัตน์
> > >
> > >อนึ่ง บทความนี้ไม่ได้ขอคุณ นิติภูมิ แต่ต้องการเอามาเผยแพร่
> > >ไห้ทุกท่านได้อ่าน เกิดผิดพลาด ทางกฎหมายแต่ประการใด ต้องขออภัยมา ณ
> > >ที่นี้ด้วยค่ะ
> > >ด้วยความเคารพ
> > >
> > >โดย : Envy
> > >อีเมล์ : furutaoru_bua@hotmail.com
> > >วันที่ : 2005-10-19 20:42:43
> > >

 กลับขึ้นบน
Schwarz
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 2
#1 วันที่: 04/11/2005 @ 15:47:15 : re: เปิดฟ้าส่องโลก มาเลเซีย
ขอบคุณมากครับที่เอามาลง อ่านตอนที่คุณนิติภูมิลงในไทยรัฐ ไม่ครบ

เราคิดดีกับเขาแต่เขาไม่ค่อยคิดดีกับเรานะครับ
 กลับขึ้นบน
phannee
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 79
#2 วันที่: 05/11/2005 @ 14:08:43 : re: เปิดฟ้าส่องโลก มาเลเซีย
.0007 .0007 .0007 .0007 .0007 .0007


ขอบคุณค่ะคุณ magbandang ที่กรุณานำบทความของ คุณนิติภูมิ นวรัตน์เขียนเล่าประวัติศาสตร์ของมาเลเซียกับไทยมาให้อ่าน คนไทยจะได้รู้ถึงภูมิหลังของมาเลเซียว่ามีความคิดอย่างไรกับเพื่อนบ้าน พวกคนพาล
บ่างช่างยุ ทำให้คนไทยแตกแยก โดยเอาความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความศรัทธาทางศาสนามาเป็นเครื่องมือ เลวจริงๆเลยเพื่อนบ้านแบบนี้
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#3 วันที่: 06/11/2005 @ 09:28:35 : re: เปิดฟ้าส่องโลก มาเลเซีย
.0005 .0000 .000A
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com