มือดีหยิบข่าวลือเดิมเรื่อง SCP เตรียมผนึกปูนซีเมนต์เอเชียในเครือ BBL ต่อยอดธุรกิจให้แข็งแกร่ง ดันราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 วันต่อเนื่อง ด้าน โบรกฯ มองตามปัจจัยพื้นฐานยังเสี่ยง แถมรอผลการดำเนินงานปี 49 เพื่อปันผล เหตุมีผลขาดทุนสะสมกว่า 10 ล้าน
วานนี้ (16 ก.พ.) ราคาหุ้นบมจ.ทักษิณคอนกรีต หรือ SCP ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง7.857% มาปิดตลาดที่ 15.10 บาท โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 17.10 บาท และต่ำสุดที่ 14.30 บาท ปริมาณการซื้อขาย 11,611,700 หุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย 184.528 ล้านบาท ติดอันดับ 13 ของหุ้นที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดของวัน (Most Gainer)
ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า ราคาหุ้น SCP ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 วันทำการ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 49 ปิดตลาดที่ 10.80 บาท ปริมาณการซื้อขาย 3189 หุ้น และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 49 ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาปิดตลาดที่ 14 บาท ปริมาณการซื้อขาย 39,544 หุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวลือตามห้องค้าว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ SCP จะจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน)บริษัทในเครือธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL โดยก่อนหน้านี้เคยเกิดกระแสข่าวดังกล่าวจนผู้บริหารปูนซีเมนต์เอเชียต้องออกมาปฎิเสธครั้งหนึ่งแล้ว
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าที่ผ่านมาราคาหุ้น SCP มักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหวือหวาได้เพียงไม่กี่วัน โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ละครั้งมาจากแรงซื้อเก็งกำไร ตามกระแสข่าวลือเดิมๆเรื่องที่ SCP เตรียมจะจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับปูนเอเชีย เพื่อต่อยอดธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง เพราะภาวะการแข่งขันอุตสาหกรรมคอนกรีตดุเดือด
ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส แนะนำนักลงทุนเพียงถือ โดยให้ราคาเป้าหมายปี 49 ที่ 14.10 บาท เนื่องจากมองว่าบริษัทยังมีปัจจัยเสี่ยงการได้และรับรู้งานโครงการใหม่ๆ เพราะภาวะการแข่งขันอุตสาหกรรมคอนกรีตค่อนข้างสูง รวมทั้งการจ่ายปันผลต้องรอผลการดำเนินงานปี 49 เนื่องจากบริษัทยังขาดทุนสะสม 11 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี คาดว่ากำไรในปี 49 จะอยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 5.2%เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่คาดว่ารายได้ในปี 49 จะอยู่ที่ 1.35 พันล้านบาท เติบโต 8%เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะเพิ่มเล็กน้อยเป็น 18.2% ส่วนภาษีเริ่มมีจ่ายเป็น 11 ล้านบาท เนื่องจากมีขาดทุนสะสมลดลง
ทั้งนี้ SCP เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงชนิดต่างๆเช่น เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง เสาเข็ม รวมทั้งมีแผนขยายการลงทุนทางด้านธุรกิจบริการขนส่ง ตอกการติดตั้งเสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง เสาเข็ม รวมทั้งงานรับเหมาก่อสร้าง ทำให้บริษัทมีปัจจัยเสี่ยงตามราคาวัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันที่ผันผวน
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนระบบจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ ทำให้การดำเนินงานของบริษัทล่าช้า โดยบริษัทมีลูกค้าหลักๆ เป็นหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และปัญหาความไม่สงบในภาคใต้อาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการลงทุน เพราะบริษัทมีฐานส่วนแบ่งตลาดสูงสุดกว่า 25%

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:7fd16ed3e0">