April 26, 2024   4:16:45 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นไทยมีแววดิ่งยาว ฝรั่งปลอมไล่ซื้อหุ้น
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 01/03/2006 @ 08:07:08
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดหุ้นไทยส่อแววดิ่งยาว การเมืองหนักขึ้นหมดทางคลี่คลาย จนกว่านายกฯยอมลาออก นักวิเคราะเตือนอาจไม่ใช่ฝรั่งแท้ซื้อสุทธิใกล้แสนล้าน แค่ 2 เดือนผ่านมา ระบุเงินไหลมาจากสิงคโปร์แหล่งนอมินีคนไทย ชี้ผิดปกติฝรั่งจริงจะไม่ลงทุน ภาวะบรรยากาศไม่เอื้อลงทุน โดยเฉพาะช่วงการเมืองแรง สังเกตุซื้อกลุ่มแบงก์ที่มีความไม่แน่นอนสูงและถ้าเป็นเงินสิงคโปร์จริงเล่นสั้นไม่ยาว[/color:dad4eaed0d">

ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากปัจจัยลบทางการเมือง ส่งผลให้ดัชนีลดลงแรง และดูเหมือนภาวะการลงทุนจะผันผวนไปอีกนาน ตราบใดที่การเมืองยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้น ถึงแม้ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะยอมลดท่าทีที่แข็งกร้าว ยอมทำตามความต้องการของฝ่ายค้าน ทั้งการลงสัตยาบรรณปฏิรูปการเมือง และเลื่อนการเลือกตั้งออกไปแต่ดูเหมือนว่าขณะนี้ฝ่ายค้านจะไม่ยอมรับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี และประกาศว่านายกรัฐมนตรีต้องลาออกสถานเดียว เพื่อยุติความรุนแรงทางการเมืองทั้งหมด

นอกจากฝ่ายค้านที่เปลี่ยนท่าทีแล้ว ปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นต่อเนื่องคือการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชน ที่ประกาศชัดเช่นกันว่าต้องการให้นายกรัฐมนตรีประกาศลาออก และให้เว้นวรรคทางการเมือง และแม้ล่าสุดจะสลายการชุมนุมไปแล้ว แต่ก็มีการนัดชุมนุมครั้งใหญ่ในวันที่ 5 มีนาคมนี้ ซึ่งดูเหมือนสถานการณ์ในการชุมนุมอาจรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นแน่นอน

วานนี้(28 ก.พ.) ดัชนีปรับตัวลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 743.01 จุด และปิดตลาด 744.05จุด ลด 9.05 จุด มูลค่าซื้อขาย 19,022.87 ล้านบาท ส่วนดัชนีเอ็มเอไอ ปิด 167.46จุด ลด 0.61 จุด มูลค่าซื้อขาย 102.42 ล้านบาทขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อ 1,280.04 ล้านบาท และรอบ 2 เดือนต่างชาติซื้อสุทธิ 93,903.94 ล้านบาท

นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ซิกโก้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ตัวเลขการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในหุ้นไทย อ้างอิงข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุชัดเจนว่ามีนักลงทุนสิงค์โปร์เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่ารวม 1 แสนล้านบาท และโหมซื้ออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 10 ปี ถือเป็นเรื่องผิดปกติ

ทั้งนี้ มองว่าที่ผ่านมา สิงคโปร์เป็นนักลงทุนต่างชาติกลุ่มเดียวที่แห่เข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง และเป็นการซื้อครั้งละมากถึง 7-8 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นนักลงทุนต้องระวังเพราะปกตินักลงทุนต่างชาติแถบยุโรปหรือสหรัฐ หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้เกิดความกังวลก็มักจะไม่เข้ามาลงทุนแล้ว ขณะที่สิงคโปร์มักจะลงทุนสั้นเข้าออกเร็ว ซึ่งการเข้ามารอบนี้ก็น่าเป็นห่วงว่าเป็นการเข้ามาเพื่อออกของ และรายย่อยอาจจะขายออกไม่ทัน

นายเกียรติก้อง กล่าวต่อว่า กลุ่มนักลงทุนสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุน ไม่สามารถระบุว่าได้ว่าเป็นนักลงทุนต่างชาติทั้ง 100%เพราะอาจมีบางส่วนที่เป็นกลุ่มนอมีนีของกลุ่มนักลงทุนไทยเนื่องจากนักลงทุนไปตั้งนอมินีในสิงคโปร์จำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมีกลุ่มนักลงทุนไทยเข้ามาซื้อหรือไม่

ทั้งนี้ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติ มีการเข้ามาลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทั้งที่เป็นกลุ่มที่ยัมีความไม่แน่นอนสูง เรื่องของการควบรวมกิจการ เพื่อหาพันธมิตรต่างชาติ เรื่องความไม่แน่นอนการเพิ่มทุน รวมถึง ผลกระทบที่จะมีการเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศสหรัฐอีก นอกจากนี้ปีนี้กลุ่มแบงก์จะเริ่มจ่ายภาษี ซึ่งจะทำให้ผลกำไรสุทธิได้รับผลกระทบในปีนี้ จึงไม่มีปัจจัยที่น่าสนับสนุนให้เข้ามาซื้อหุ้น แต่กลับมีการเข้าซื้อในหุ้นกลุ่งดังกล่าว ต่อเนื่องจนดัชนีหุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวขึ้นไปสูงเกินพื้นฐานไปแล้ว

นอกจากนี้จุดที่น่าสังเกตอีกคือ มีการซื้อหุ้นแบงก์บางตัว จนราคาปรับตัวขึ้นไปที่ราคาเฉลี่ยที่มีโบรกเกอร์ต่างชาติและกองทุนสถาบัน ใช้เป็นค่าเฉลี่ยตามพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นๆ และก็มีเทขายออกมาทันทีทำให้หุ้นดังกล่าวปรับตัวลงไปยืนที่จุดเดิม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวเข้ามาเพื่ออะไร

นายเกียรติก้อง กล่าวด้วยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ อาจจะมีอัตราเติบโตไม่ถึง 5% ตามที่รัฐบาลมีการคาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อาจมีผลทำให้อัตราเติบโตเศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่วนผลประกอบการบจ. คาดจะเติบโตเพียง 3% ซึ่งกลุ่มที่จะเติบโตได้คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้างขนาดเล็กสูงสุดประมาณ 40% เนื่องจากตัวเลขฐานกาเติบโตของปีก่อนอยู่ในระดับต่ำ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิก กลุ่มผลิตไฟฟ้า กลุ่มเหล็ก

ขณะที่กลุ่มที่จะมีอัตราเติบโตของกำไรสุทธิปรับตัวลง คือกลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มเดินเรือกลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน เนื่องจากค่าการกลั่นลดลง และเชื่อว่าราคาน้ำมันจะไม่ปรับตัวแรงเท่ากับปีก่อน ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะลดลง

สำหรับหุ้นปันผลที่แนะนำได้แก่ บริษัท พาโตเคมีอุตสาหกรรม คาดการอัตราเงินปันผลที่ 10.5% สตีล อินเตอร์เทค 10.5% ซีเอส ล็อกซอินโฟ 9.2% ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง 9%โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ 9% บางกอก แร้นซ์ 8.9% ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ 8.8%ไทยโพลีอะคริลิค 8.8% 124 คอมมิวนิเคชั่นส 8.3% และ โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) 8.1%
ด้านผู้บริหารเจพีมอร์แกน ระบุว่าเงินลงทุนต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง โดยไม่ถึง 2เดือนมูลค่าการซื้อขาย 9 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัว 5%ขณะที่การส่งออกและโครงการลงทุนสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ยังเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การยุบสภาทำให้นักลงทุนกังวลว่าโครงการเมกะโปรเจกต์ชะลออกไป

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:dad4eaed0d">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com