April 25, 2024   5:00:16 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ผู้บริหารโบรกเกอร์เชื่อ การเมืองไทยจะได้ข้อยุติเร็วๆ นี้
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 01/03/2006 @ 18:50:10
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ผู้บริหารโบรกเกอร์เชื่อ การเมืองไทยจะได้ข้อยุติเร็วๆ นี้ ชี้หากนายกฯ ลาออกหุ้นบวกแน่ และมีโอกาสแตะ 770 จุด แต่หากอยู่ต่อจะทำลายบรรยากาศการลงทุน เหตุสถานการณ์ต้องยืดเยื้อออกไป ทั้งมั่นใจไม่มีปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น ขณะที่ ม.หอการค้า ประเมินถ้าจัดการเลือกตั้งได้ภายใน 60 วันและมีรัฐบาลใหม่จะทำให้ จีดีพี โตที่ 4.4% แต่หากมีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน จีดีพี จะโตได้ 4% กรณีเลวร้ายสุดไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น จีดีพี จะโตแค่ 3.5%[/color:744a0d8552">

* โบรกเกอร์เชื่อนายกฯ ออก หุ้นพุ่ง
แหล่งข่าวจากผู้บริหารโบรกเกอร์รายหนึ่ง เปิดเผยถึงบรรยากาศการลงทุนช่วงนี้ว่า ดัชนีตลาดฯ ค่อนข้างผันผวนตามสถานการณ์รายวัน แต่ไม่รุนแรงมากนัก เพราะขณะนี้นักลงทุนในตลาดเริ่มอ่านเกมทางการเมืองชัดขึ้น ซึ่งเชื่อว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้ปัญหาทางการเมืองจะได้ข้อยุติ
ทั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง จะส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุน โดยคาดว่าดัชนีตลาดฯ มีโอกาสขึ้นไปถึง 770 จุด เนื่องจากมีความชัดเจน และไม่เกิดการประจันหน้าระหว่างกลุ่มผู้คัดค้านและกลุ่มสนับสนุน
แต่ในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
จะทำให้บรรยากาศการลงทุนอาจแย่ลง เพราะนายกฯ คงทำงานได้ลำบาก
เพราะสถานการณ์และการกดดันต่างๆ อาจเรื้อรังต่อไป
หรือหากได้รับนายกรัฐมนตรีพระราชทานเข้ามาบริหารงานชั่วคราว
จะส่งผลดีกับตลาดหุ้นในระยะสั้น แต่อาจเกิดมุมมองไม่ดีต่อนักลงทุนต่างชาติ
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากมีนายกรัฐมนตรีพระราชทานจริง อาจจะเป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราวเท่านั้น

?ไม่เชื่อว่าจะมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น เพราะมันไม่เกิดประโยชน์กับฝ่ายไหนทั้งสิ้น ทหารจะทำอย่างไรหลังจากปฏิวัติแล้ว เมื่อเกิดการเลือกตั้งใหม่ทิศทางจะไปทางไหน? แหล่งข่าว กล่าว

สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ แนะนำนักลงทุนให้ถือเงินสดประมาณ 2 ใน 3หรือเลือกลงทุนในกหุ้นกลุ่มที่มีกำไรดี เช่น แบงก์ แต่หากนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งและดัชนีตลาดขึ้นไปอยู่ที่ 780 จุด ควรถือเงินสด 75-80% เพราะตลาดจะรับข่าวดีและมีการขายทำกำไรออกมาเมื่อดัชนีอ่อนตัวจึงค่อยกลับเข้าไปตั้งรับใหม่

* ตลาดแบ่ง นลท. ออกเป็น 2 ประเภท
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง หรือ BLS เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นช่วงนี้ค่อนข้างผันผวน โดยกลุ่มผู้ลงทุนในตลาดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่กลัวความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้มักจะเทขายเมื่อสถานการณ์ไม่แน่ชัด
อีกกลุ่มคือ นักลงทุนระยะยาว ที่มองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะในการลงทุน ซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่ให้น้ำหนักเรื่องความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ทางการเมืองมากกว่าการอยู่หรือไปของนายกรัฐมนตรี เพราะหากเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงแน่นอน
อย่างไรก็ตาม จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในระดับ 38 บาทแสดงว่ามีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในช่วงนี้ ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไม่แรงมากนัก
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ควรขายออกมาก่อนและให้รอรับเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว โดยกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่
อสังหาริมทรัพย์

* เลือกตั้งใน 60 วัน จีดีพี โต 4.4%
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2549 ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองว่า หากมีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญเดิมและมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใน 60 วันนั้น จีดีพี ในปี 2549 จะขยายตัวอยู่ที่ 4.4% โดยเศรษฐกิจจะชะลอตัวในช่วงครึ่งปีแรกของปี และจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 3
ทั้งนี้ การที่มีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็ว จะสามารถเริ่มโครงการเมกะโปรเจ็กได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้หรือต้นปี 2550 จะทำให้จีดีพีขยายตัวได้เร็ว คาดว่า จีดีพี ของปีนี้จะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี และจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยไตรมาสที่ 1 จะโตอยู่ที่ 4.4% ไตรมาสที่ 2 โต 4.1% ไตรมาสที่ 3 โต 4.3% และไตรมาสที่ 4 โต 5%
สำหรับการส่งออกในปี 2549 จะขยายตัวอยู่ที่ 13.3% ซึ่งลดลงจากปี 2548 ที่อยู่ที่ 15% ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัวเพียง 13.3% ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2548 ที่อยู่ที่ 26% เนื่องจากโครงการเมกะโปรเจ็กจะล่าช้าลงและจะมีการเริ่มโครงการในไตรมาส 4 ปี 2549 จึงส่งผลให้ดุลการค้าในปี 2549 จะขาดดุลประมาณ 9,615 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5% ของ จีดีพี
เนื่องจากมองว่าการดำเนินโครงการเมกะโปรเจ็กในปีนี้จะยังคงทำให้มีการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าทุนสูงอยู่ ซึ่งยังทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงขาดดุลอยู่ในระดับสูงที่ 4,315 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.2 ของจีดีพี
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปี 2549 จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2549 ซึ่งทำให้คาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ 3.8-4.3% ส่วนค่าเงินบาทเฉลี่ยในปี 2549 จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยตามค่าเงินสกุลเอเชียที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามแรงกดดันของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเพื่อแก้ไขปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ
โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ประมาณ 40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่าขึ้นกว่าปี 2548 ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 40.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

* ได้นายกพระราชทาน จีดีพี จะโต 4%
ดร.ธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า ในกรณีที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลโดยมีนายกรัฐมนตรีพระราชทานที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้มีการเลือกตั้งภายในปีนี้และมีรัฐบาลชุดใหม่นั้น จีดีพี ในปี 2549 จะขยายตัวอยู่ที่ 4% ได้ ซึ่งลดลงจากประมาณการเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 4.8%
เนื่องจากการดำเนินโครงการเมกะโปรเจ็กที่เป็นตัวกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจในปีนี้จะต้องยืดออกไปจนถึงกลางปี 2550 จึงทำให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง มองว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ และจะค่อยฟื้นตัวกลับมาในช่วงไตรมาสที่ 4 โดยไตรมาสที่ 1 ขยายตัวอยู่ที่ 4.3% ไตรมาสที่ 2 ขยายตัวอยู่ที่ 3.9% ไตรมาสที่ 3 ขยายตัวอยู่ที่ 3.7% และไตรมาสที่ 4 ขยายตัวอยู่ที่ 4.1%
ส่วนการส่งออกในปี 2549 จะขยายตัวประมาณ 13.3% ซึ่งลดลงจากปี 2548 ที่อยู่ที่ 15% ในขณะที่การนำเข้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 12.6% ซึ่งลดลงกว่าปี 2548 ที่อยู่ที่ 26% เนื่องจากมองว่าอาจจะต้องมีการชะลอโครงการเมกะโปรเจ็กออกไปจนถึงกลางปี 2550 ซึ่งจะทำให้ไปเร่งตัวในปี 2550 มากกว่าปีนี้
ส่งผลให้ดุลการค้าในปี 2549 จะขาดดุลอยู่ที่ 8,844 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 4%ของจีดีพี ซึ่งทำให้ดุลบัญชีในปี 2549 จะขาดดุลอยู่ในระดับสูงประมาณ 4,044 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.1% ของ จีดีพี อัตราเงินเฟ้อในปี 2549 จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 โดยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.6-4.1% แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของราคาพลังงานในประเทศเป็นสำคัญด้วย
ด้านค่าเงินบาทในปี 2549 จะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเล็กน้อย ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนและความรุนแรงทางการเมือง จะส่งผลให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนอยู่บ้าง โดยคาดว่าทั้งปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 40.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนค่าลงกว่าปี 2548 ที่อยู่ที่ 40.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

* กรณีเลวร้ายไม่มีการเลือกตั้ง จีดีพี จะโตแค่ 3.5%
นอกจากนี้ หากสถานการณ์ทางการเมืองเกิดความรุนแรงจนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้นั้น จีดีพี ในปี 2549 จะขยายตัวต่ำกว่า 4% โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 3.5% เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อโครงการเมกะโปรเจ็กที่เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้มากที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อการชะลอตัวในภาคอื่นๆ ตามมาด้วย
จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2549 ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 1 จะขยายตัวเพียง 4.1% ไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 3.5% ไตรมาสที่ 3 ขยายตัว 3.2% และไตรมาสที่ 4 ขยายตัว 3.3%
ด้านการส่งออกในปี 2549 จะขยายตัวอยู่ที่ 11% ซึ่งลดลงจากปี 2548 ที่อยู่ที่ 15% ขณะที่การนำเข้าคาดว่าจะอยู่ที่ 10.9% ซึ่งลดลงจากปี 2548 ที่อยู่ที่ 26% ส่งผลให้ดุลการค้าในปี 2549 จะขาดดุลอยู่ที่ 9,387 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5% ของจีดีพี ซึ่งทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2549 จะขาดดุลอยู่ในระดับสูงประมาณ 5,087 ล้านเหรียญ สหรัฐ หรือประมาณ 2.7% ของ จีดีพี
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปี 2549 จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 โดยคาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ 3.3-3.8% ได้ แต่อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับการปรับตัวของราคาพลังงานในประเทศเป็นสำคัญด้วย
ส่วนค่าเงินบาทในปี 2549 จะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอน และมีความรุนแรงทางการเมืองที่มีความรุนแรงมาก ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่ 41 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับปี 2548 ที่เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 40.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

?การประเมินสถานการณ์ของเราในขณะนี้ ถือว่าเป็นการวิเคราะห์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ที่มีความเป็นไปได้ทั้ง 3 กรณี โดยเราคำนวณราคาน้ำมันของทุกกรณีไว้ที่ 56 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นถึง 70 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากประเทศอิรักถูกคว่ำบาตรเรื่องการผลิตน้ำมัน ทางหอการค้าอาจจะต้องมีการปรับประมาณการในปี 2549 ใหม่อีกครั้ง? ดร.ธนวรรธน์ กล่าว


* หลากหลายข่าวลือแพร่สะพัด
ตลอดวันที่ 1 มีนาคมนี้ ยังคงเกิดกระแสข่าวลือที่หลากหลายแพร่สะพัดทั้งวันทั้งเรื่องการตัดสินใจประกาศลาออกของนายกรัฐมนตรี, นายกรัฐมนตรีขอเข้าพบพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และพลเอกเปรม ได้เรียก 4 พรรคการเมืองใหญ่เข้าพบ เป็นต้น
ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ปรับตัวลดลงในช่วงเช้าได้พลิกกลับมาบวกได้สำเร็จ โดยปิดตลาดที่ระดับ 748.28 จุด เพิ่มขึ้น 4.23 จุด หรือ 0.57% มูลค่าการซื้อขาย 18,076.71 ล้านบาท










ที่มา efinancethai.com[/color:744a0d8552">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com