April 19, 2024   1:11:54 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ขั้วอำนาจเปลี่ยน "ซิโน-ไทยฯ" เปลี่ยว
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 03/03/2006 @ 13:24:55
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ส่องเกม ซิ-โนไทยฯ บนขั่วอำนาจการเมืองที่ สั่นคลอน ด้านผู้บริหารยืนยันแทบไม่กระทบ เหตุตุนงานไว้แล้ว 2 ปี เตรียมปรับยุทธศาสตร์ใหม่ เฟ้นงานมาร์จิน [/color:a3f3f56f84">


บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ของ อนุทิน ชาญวีรกูล รมช.สาธารณสุข และมีตระกูลชาญวีรกูล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถูกมองว่าเป็นหุ้นการเมืองมาโดยตลอด

วันนี้กำลังพิสูจน์มรสุม แรงสั่นคลอนของขั้วอำนาจที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะโครงการเมกะโปรเจค ส่อแววยืดเยื้อ ขณะที่ STEC เลือกยืนเคียงข้างพรรคไทยรักไทยอย่างเด่นชัดเกินไป ซึ่งไม่เป็นผลดี หากขั้วอำนาจเปลี่ยน

ที่ผ่านมาความใกล้ชิดกับ พรรคไทยรักไทย ทำให้ STEC กลายเป็นดาวรุ่งในวงการรับเหมาอย่างรวดเร็ว ย้อนกลับไปในปี 2545 จากบริษัทที่มีรายได้เพียง 4,210 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2548 รายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 13,209 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการรับงานภาครัฐสูงถึง 70%

ผู้สังเกตการณ์ในวงการรับเหมา กล่าวว่า ไม่ใช่ STEC ทำงานดีกว่าคนอื่น แต่เป็นเพราะบริษัทนี้ มี อนุทิน ชาญวีรกูล รมช.สาธารณสุข เป็นเจ้าของต่างหาก

เมื่อเดือน มกราคม 2549 ที่ผ่านมา บริษัทได้ขายหุ้นเพิ่มทุนเฉพาะเจาะจงจำนวน 160 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 12.10 บาท ให้กับ UBS Securities PTE Ltd. จากสิงคโปร์ เพื่อเป็นตัวกลางในการกระจายหุ้นของบริษัท ให้กับนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ

ที่น่าสังเกตคือ UBS Securities ซึ่งเกี่ยวข้องกับดีล ชินคอร์ป อาจเป็นเพียง นอมินี ถือหุ้นแทนใครบางคน ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังอาจจะเป็น ฝรั่งหัวดำ หรือไม่

วัลลภ รุ่งกิจวรเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทยฯ ยืนยันกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า การดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามระบบ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างแน่นอน ส่วนที่คนมองว่า UBS Securities PTE Ltd. เป็นนอมินีซื้อหุ้นให้กับกลุ่มผู้มีอำนาจนั้นก็ไม่น่าจะใช่ เนื่องจาก UBS นำหุ้น STEC ไปขายต่อให้กับกองทุนในสิงคโปร์ จำนวนมากถึง 30 กองทุน

มันจะเกี่ยวกับการเมืองยังไง คุณอนุทิน เขาไม่ได้มายุ่งเลย ส่วน UBS ก็เป็นแค่โบรกเกอร์ ผู้จัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุน อย่าเอาไปผูกกัน และการกระจายหุ้นเพิ่มทุนเรา ก็กระจายให้กับกองทุนมากกว่า 30 กอง ตอนแรกจะมีแค่ 2 ราย แต่เราบอกว่าไม่ได้ เดี๋ยวเขาทิ้งหุ้นเรา-ตายแน่ วัลลภ ชี้แจง

เขายอมรับว่า การที่รัฐบาลประกาศยุบสภาอาจทำให้ โครงการเมกะโปรเจค ชะงักชั่วคราวเท่านั้น แต่บริษัทไม่กังวล เนื่องจากที่ผ่านมาได้สะสมงานเข้ามาจำนวนมาก ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Back Log) ประมาณ 29,000 ล้านบาท และมีงานที่อยู่ระหว่างรอการเซ็นสัญญาอีก 9,200 ล้านบาท

โดยล่าสุดเพิ่งชนะการประมูลงานก่อสร้างศูนย์ราชการที่แจ้งวัฒนะถึง 3 สัญญา มูลค่ารวม 6,355 ล้านบาท

วัลลภ บอกด้วยว่า งานของบริษัทที่มีอยู่มากขนาดนี้ เพียงพอที่จะทำให้มีงานทำตลอด 2 ปี ได้อย่างสบาย ทำให้บริษัทรับผลกระทบน้อยที่สุดจากวิกฤติทางการเมือง โดยปีนี้คาดว่าจะรับรู้รายได้ 15,000 ล้านบาท

โดยขณะนี้กำลังเตรียมที่จะเข้าประมูลงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมี และโรงงานไฟฟ้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงประมาณ 10-15% และแต่ละงานเป็นงานที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง อาทิ โครงการ PTTEP Ethance Craker ที่จะสร้างให้มีกำลังการผลิตถึง 1 ล้านตันต่อปี

ด้วยงานในมือที่มีอยู่มากทำให้วันนี้การเดินเกมของ ซิโน-ไทยฯ เริ่มที่จะเฟ้นมาร์จิน หรือกำไรมากขึ้น วัลลภ วางนโยบายว่าจากนี้ไปบริษัทจะเน้นงานที่มีมาร์จินสูงขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องดูในลายละเอียด หรือสถานการณ์แวดล้อมด้วย ซึ่งอาจจะเปลี่ยนใจตัดราคาถ้าบริษัทอยากจะได้รับงาน

โดยในปี 2547 บริษัทมีกำไรขั้นต้นเพียง 4.2% ขณะที่ปี 2548 บริษัทมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.7% เมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 13%

นอกจากนี้ วัลลภ ยังกล่าวด้วยว่า บริษัทมีนโยบายการเพิ่มส่วนทุนขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มทุนที่ผ่านมา ได้เม็ดเงินกว่า 1,900 ล้านบาทมาเสริม ทำให้บริษัทมีส่วนทุนถึง 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นทางการเงินของบริษัท ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายทางการเงิน อาทิ ค่าธนาคารการันตี หรือ ได้เรทดอกเบี้ยถูกลง

ขณะเดียวกันต้นทุนราคาเหล็ก ณ ปัจจุบันถือว่าลดลงมาแล้ว จากนโยบายการเพิ่มมาร์จิน และลดค่าใช้จ่าย คาดว่าบริษัทจะสามารถคงอัตราผลตอบแทนจากส่วนผู้ถือหุ้นที่ 11.5% ไว้ได้

ด้าน บล.นครหลวงไทย มองว่า STEC จะได้รับผลกระทบน้อยสุดจากปัญหาการเมือง เพราะบริษัทมีงานในมือจำนวนมาก แม้ว่าโครงการเมกะโปรเจค จะเลื่อนการประมูลออกไปก็ตาม

อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีความเสี่ยง หากปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อ อาจจะทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัทในระยะสั้นได้ รวมไปถึงภาวะเงินเฟ้อที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อเนื่องต่อการปรับขึ้นค่าแรงงาน ซึ่งสัดส่วนค่าแรงงานของ STEC คิดเป็น 20% ของต้นทุนรวมทั้งหมด

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ[/color:a3f3f56f84">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com