March 29, 2024   5:45:57 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กลุ่มมหากิจศิริ" กินรวบ "รายย่อย"
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 24/03/2006 @ 17:02:00
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ประยุทธ มหากิจศิริ เดินเกมเหนือชั้น ปล่อยหุ้นหล่นเหลือ 0.20 บาท เพิ่งมาประกาศลดทุน-ขายที่ดิน เพื่อล้างขาดทุนสะสม รายย่อย เจ๊งย่อยยับไปแล้ว จับตาแผนต่อไป เพิ่มทุน (ครั้งใหม่) ขายคนกันเอง เพราะรู้ว่าธุรกิจฟิล์มกำลังอยู่ในวัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่ [/color:3ffe01c8d6">


ภายหลังคณะกรรมการ บมจ.ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ (TFI) ของ ประยุทธ มหากิจศิริ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย มีมติให้ลดทุนบริษัทจาก 6,781.54 ล้านบาท เหลือ 710 ล้านบาท ด้วยการลดจำนวนหุ้นอย่างมโหฬารจาก 6,781.54 ล้านหุ้น ให้เหลือจำนวน 710 ล้านหุ้นนั้น โดยลดหุ้นจำนวน 9.55 หุ้น ให้เหลือเพียง 1 หุ้น

โดยอ้างว่าจะนำไปเพื่อล้างส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น จำนวน 3,882.14 ล้านบาท และลดขาดทุนสะสมจำนวน 2,189.39 ล้านบาท ทำให้ขาดทุนสะสมลดลงเป็น 5.65 ล้านบาทบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่ง และสามารถจ่ายเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ได้เร็วขึ้น เมื่อมีกำไรในอนาคต

ดูผิวเผินเหมือนกับว่าการลดทุนครั้งนี้ กลุ่มมหากิจศิริ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ 70% (ณ วันปิดสมุดทะเบียน 17 ต.ค. 2548) เสียผลประโยชน์มากที่สุด เพราะจะเหลือหุ้นเพียง 495.94 ล้านหุ้น จากจำนวนที่ถือครองในปัจจุบัน 4,737 ล้านหุ้น (จำนวนหุ้นที่หายไปกว่า 4,241 ล้านหุ้น)

และหากคำนวณจากราคาหุ้น TFI ณ ราคาปิดวันที่ 22 มีนาคม 2549 ที่ 0.20 บาท มูลค่าของ กลุ่มมหากิจศิริ จะเหลือเพียง 99.18 ล้านบาท หายไปกว่า 848.21 ล้านบาททันที จากเดิม 947.4 ล้านบาท

ทว่าเกมนี้ยังซ่อนหมากแฝงกล ที่มีผลประโยชน์ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ประยุทธ อาจจะยอมเจ็บตอนนี้ เพื่อรอผลประโยชน์ก้อนใหญ่กว่าในอนาคตก็เป็นไปได้

ประเมินกันว่า ภายหลังการลดทุนครั้งนี้สำเร็จ ขั้นตอนต่อไป ไทยฟิล์ม อาจจะมีมติออก หุ้นเพิ่มทุน เนื่องจากปัจจุบันฐานะการเงินของบริษัทอยู่ในขั้นต้องเพิ่มทุนในอีกไม่ช้าก็เร็ว เพราะมีหนี้สินหมุนเวียนสูงถึง 3,088.55 ล้านบาท ขณะที่สินทรัพย์หมุนเวียนมีอยู่เพียง 1,526.20 ล้านบาท

อธิบายง่ายๆ ว่า บริษัทมีภาระหนี้สินระยะสั้นส่วนเกินที่ต้องจ่ายในปีนี้ มากถึง 1,500 ล้านบาท และเมื่อตรวจสอบความสามารถในการทำกำไรก็พบว่า ย่ำแย่ ไม่แพ้ฐานะการเงิน โดยในปี 2548 มีผลขาดทุนสุทธิ 419.53 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนถึง 37%

ย้อนกลับไปจะพบว่าสาเหตุที่ ไทยฟิล์ม แย่อย่างทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความผิดพลาดในการซื้อหุ้น ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตทองแดงบริสุทธิ์ อีกธุรกิจหนึ่งของ ตระกูลมหากิจศิริ

ปี 2546 ไทยฟิล์ม ลงทุนซื้อหุ้น ไทยคอปเปอร์ สัดส่วน 27.47% มูลค่าต้นทุนกว่า 1,709 ล้านบาท

ทว่า ณ สิ้นปี 2548 ไทยฟิล์ม เหลือส่วนได้เสียใน ไทยคอปเปอร์ เพียง 1,102 ล้านบาท โดยบริษัทรับผลขาดทุนสะสมถึง 655 ล้านบาท

ทางออกของ ไทยฟิล์ม ในวันนี้ หากไม่เจรจาหนี้สินให้เป็นหนี้ระยะยาว หรือ กู้เงินเบิกเกินบัญชีเพื่อใช้หนี้ระยะสั้น ซึ่ง 2 วิธีนี้ จะทำให้บริษัทต้องแบกรับดอกเบี้ยเพิ่ม ก็จะต้อง หาทุนใหม่ใส่เข้ามา

และเงื่อนไขของทุนใหม่ที่จะใส่เข้ามานั้น จะต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 1 บาท (ไม่ต่ำกว่าราคาพาร์) มิเช่นนั้นก็จะเกิดส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ซึ่งผลกำไรที่ออกมาจะต้องไปหักส่วนนี้ก่อน จ่ายปันผล

ท่ามกลางราคาหุ้นที่ตกต่ำกว่าราคาพาร์ ฉะนั้นโอกาสที่จะเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิมจึงเป็นไปได้ยาก ทางออกที่เป็นไปได้จึงโฟกัสไปที่ การเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายถึง ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะต้องรับกรรม ยอมถูก ไดลูท โดยแทบจะไม่เหลืออะไร

ผู้เชี่ยวชาญในวงการตลาดทุน แนะนำให้ จับตาการเพิ่มทุนใหม่ของ TFI ว่า จะเป็น กลุ่มมหากิจศิริ พันธมิตร และ นอมินี เข้ามาหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า แม้มูลค่าหุ้น TFI ของประยุทธจะลดลง

แต่ที่ผ่านมา ประยุทธ ได้รับเงินจากการขายนำหุ้นเดิม ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส (INOX) จำนวน 2,170 ล้านหุ้น เสนอขายให้กับประชาชนเมื่อปลายปี 2547 ในราคา 2.10 บาท ได้รับเงินมาทั้งสิ้น 4,558 ล้านบาท เป็นหน้าตักที่ไม่ใช่น้อย

ว่ากันว่าเหตุผลที่ กลุ่มมหากิจศิริ ใช้จังหวะนี้ดำเนินเกม ลดทุน ก่อน เพิ่มทุน ก็เป็นเพราะว่า เขาเห็นทิศทางของตลาดฟิล์มโลกกำลังเริ่มอยู่ในวัฏจักรขาขึ้น

นักวิเคราะห์ด้านธุรกิจฟิล์มจาก บล. กิมเอ็ง ประเมินว่า ตลาดฟิล์มปัจจุบันกำลังอยู่ในวัฏจักรขาขึ้น หลังจากที่ผ่านมาต้องประสบกับปัญหาในด้านสินค้าล้นตลาด (Over supply) ซึ่งขณะนี้ดีมานด์ได้ไล่ขึ้นมาทันซัพพลายแล้ว โดยไซเคิลของตลาดฟิล์มจะอยู่ประมาณ 3-5 ปี

ตลาดฟิล์มเริ่มกลับมาดีตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2548 อย่าง AJ ที่ผลิตฟิล์มแบบ BOPP ก็มีผลกำไรค่อนข้างดี แม้ว่าการเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของธุริกจฟิล์มจะง่าย แต่ดีมานด์ที่เพิ่งจะเริ่มขึ้นมา คงไม่มีบริษัทไหนที่เร่งขยายกำลังการผลิตเพื่อทำร้ายตัวเองแน่นอน

สถานการณ์ที่รออยู่เบื้องหน้า จึงไม่แปลกที่ ประยุทธ จะฉวยโอกาสในจังหวะนี้ ลดทุนยอมเจ็บตัวบางส่วน เพื่อหวังผลในอนาคต ท่ามกลางความสูญเสียของรายย่อยที่เจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว

และหากเพิ่มทุนโดยกลุ่มตนเองเข้ามาถือหุ้น ก้อนใหม่ และปัดกวาดบ้าน (ล้างหนี้) ให้สะอาดเพื่อต้อนรับราคาฟิล์มขาขึ้น (รอบใหม่) ราคาหุ้น TFI ก็จะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่บริษัทประกาศ ตัวเลขกำไร ออกมา ราคาหุ้นก็จะพุ่งขึ้นทันที

ดังนั้นการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นครองหุ้นไม่ว่าจะในนามกลุ่มมหากิจศิริ หรือในชื่อ นอมินี จึงล้วนแต่มีโอกาส สร้างความมั่นคั่งให้กับ ประยุทธ ได้ทั้งนั้น ขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อยที่กอดหุ้น TFI จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกประตู

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ยังอนุมัติให้ ไทยฟิล์ม ขายที่ดินย่านถนนสุวินทวงศ์ (ทางหลวงหมายเลข 304) บริเวณกิโลเมตรที่ 30 ตำบลศาลาแดง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 5 โฉนด เนื้อที่รวมประมาณ 88 ไร่เศษ

ขายให้แก่ บริษัท เลควูด แลนด์ ซึ่งมี ประยุทธ มหากิจศิริ และเครือญาติร่วมถือหุ้นสัดส่วน 90% ในราคาเพียง 140 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับราคาทุนที่ซื้อมา 216.85 ล้านบาทแล้ว ปรากฏว่า TFI ขายขาดทุนถึง 76 ล้านบาท และยังต่ำกว่าราคาประเมินที่ 141.68 ล้านบาทอีกด้วย

แม้ว่าบริษัทจะอ้างว่า การจำหน่ายที่ดินครั้งนี้เพื่อให้ได้เงินสดมาหมุนเวียนในกิจการจากการขยายกำลังการผลิต และช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่าย แต่การที่ขายราคาขาดทุนสูงถึง 76 ล้านบาท ให้กับ กลุ่มมหากิจศิริ ครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายมองกันว่าชั้นเชิงของ ประยุทธ มหากิจศิริ ไม่ธรรมดาจริงๆ

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ[/color:3ffe01c8d6">

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 24/03/2006 @ 20:31:56 : re: กลุ่มมหากิจศิริ" กินรวบ "รายย่อย"
.0008 .0008
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#2 วันที่: 25/03/2006 @ 10:54:41 : re: กลุ่มมหากิจศิริ" กินรวบ "รายย่อย"
ประยุทธ สุดยอดชั่วเลย ฟฟฟฟ2
 กลับขึ้นบน
innocent
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 729
#3 วันที่: 25/03/2006 @ 12:39:48 : re: กลุ่มมหากิจศิริ" กินรวบ "รายย่อย"
[b:6bd53bfb66">รู้อย่างนี้ อยู่ให้ห่าง..... . .000c

ไปดูบริษัทธรรมาภิบาล ผู้บริหารมีจริยธรรมดีกว่า ... .0008 [/color:6bd53bfb66">[/b:6bd53bfb66">
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#4 วันที่: 25/03/2006 @ 13:50:51 : re: กลุ่มมหากิจศิริ" กินรวบ "รายย่อย"
หุ้นเน่าประเภทนี้มีมากกว่าครึ่งในตลาดทุน และคนที่เป็นนักการเมืองและหรือมีส่วนได้เสียกะหุ้นในตลาด มักจะทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองรวยโดยไม่สนใจว่าใครจะเจ๊ง เลวมากๆ ไอ้พวกหนีนรกมาเกิด
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#5 วันที่: 26/03/2006 @ 01:02:03 : re: กลุ่มมหากิจศิริ" กินรวบ "รายย่อย"
กลต.ทำไรอยู่....
 กลับขึ้นบน
-..-
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 12
#6 วันที่: 27/03/2006 @ 11:44:37 : re: กลุ่มมหากิจศิริ" กินรวบ "รายย่อย"
ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน
P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
#7 วันที่: 28/03/2006 @ 17:24:50 : re: กลุ่มมหากิจศิริ" กินรวบ "รายย่อย"
หลักทรัพย์ นี้เลิกเล่นมานานแล้วง่ะ ....
กลัว จริงเลย .....
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com