April 25, 2024   1:39:17 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > Big Player SVI ยืมมือ "กองทุน" ซ่อนแผน "ดัน
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 31/03/2006 @ 18:32:18
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ผู้ถือหุ้นใหญ่ เตรียมตัดขายหุ้น 24% จากที่ถืออยู่ 75% ให้เหลือเพียง 51% หวังจูงใจกองทุนเข้าซื้อหุ้น ดันค่าพี/อีให้สูงขึ้นเป็น 10 เท่า ผู้บริหารไม่หวั่นลูกค้าเดิม โซนี่ อิริคสัน ตีจาก ย้ายฐานไปจีน เพราะได้ออเดอร์ลูกค้าใหม่มาทดแทนแล้ว


ราคาหุ้นเอสวีไอปัจจุบัน เทียบกับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ถือว่าต่ำกว่า เรามีค่าพี/อี เพียง 5.5 เท่า แต่ค่าพี/อี กลุ่มสูงถึง 12 เท่า ราคาหุ้นเราจึงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานกว่าอีก 3 บริษัทคือ HANA, TEAM, CCET ทั้งๆ ที่ผลประกอบการของเราก็ดีขึ้นมาโดยตลอด โพธิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสวีไอ มีความคิดเห็นเช่นนั้น

แผนขั้นต่อไปของผู้บริหารเอสไวีไอ ก็คือ ต้องการเพิ่มสภาพคล่องให้แก่หุ้น และทำให้ราคาหุ้นสะท้อนตามปัจจัยพื้นฐาน และทำให้ค่าพี/อี เรโช เพิ่มเป็น 10 เท่า เพื่อจูงใจให้กองทุนเข้ามาซื้อขายมากขึ้น

โพธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างให้ บล.เกียรตินาคิน เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ทำการศึกษาเพื่อหาวิธีเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น แม้ว่าปัจจุบันจะมีกองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ และบลจ.เอเจเอฟ เข้ามาลงทุนส่วนหนึ่งแล้วก็ตาม

สำหรับแนวทางขณะนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ กองทุนเอเชีย แปซิฟิค โกรทฟันด์ 1 และ 2 ซึ่งถือหุ้นผ่าน บริษัท เอเชีย แปซิฟิค อิเลคทรอนิคส์ ในสัดส่วน 75% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ผ่าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(สิงคโปร์) อีกทอดหนึ่งนั้น มีแผนที่จะขายหุ้นออกมาในตลาด 24% เพื่อให้เหลือสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 51%

ส่วนวิธีการเพิ่มทุน คงไม่จำเป็น เนื่องจากเรามีทุนเพียงพอ และมีหนี้สินน้อยมากเพียง 0.35 เท่า หรือกรณีลดราคาพาร์ก็ไม่จำเป็น เพราะราคาหุ้นเราต่ำมากอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ที่ปรึกษาทางการเงินอยู่ระหว่างการศึกษาถึงรายละเอียด คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 เดือนนี้

ในมุมมองของนักวิเคราะห์จาก บล.สินเอเซีย ประเมินว่า จากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เอสวีไอ ต้องการขายหุ้นออกมา เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่หุ้น น่าจะส่งผลในด้านบวกมากกว่าด้านลบ

แม้นักลงทุนอาจจะกังวลว่าจะมีแรงขายหุ้นออกมาในตลาด ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงได้ แต่คาดว่าบริษัทจะทยอยขาย เมื่อถึงระดับราคาที่คาดหวังไว้มากกว่า

สำหรับแผนงานของเอสวีไอ ปี 2549-2550 โพธิ์ เปิดเผยว่า จะเน้นโฟกัสธุรกิจไปยังการก่อตั้งโรงงาน SVI แห่งที่ 3 ในประเทศจีน โดยจะมีกำลังการผลิต 10 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เท่ากับโรงงานแรก และจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 10 ล้านเหรียญสหรัฐ

เราคาดว่าในปีนี้น่าจะถึงจุดคุ้มทุน เนื่องจากบริษัทมีงานในมือแล้วกว่า 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และในเดือนมิถุนายน จะเพิ่มอีก 1 สายการผลิต รวมเป็น 2 สายการผลิต เนื่องจากตลาดในประเทศจีนยังเปิดกว้างรองรับสินค้าของ SVI ได้อีกมาก โดยคาดว่ารายได้จากโรงงานแห่งนี้ จะเริ่มรับรู้ตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้

ส่วนการลงทุนในจีนในปีนี้ และปี 2550 จะมีกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น เพราะมีต้นทุนค่าแรงต่ำกว่ามาก เพียง 4,400 บาทต่อหัว เทียบกับค่าแรงงานไทย 8,800 บาทต่อหัว จึงเชื่อว่ามาร์จินจะดีขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มสายการผลิตสินค้าใหม่ในไทย คือ ?ซิสเต็ม บิลท์? หรือการผลิตเพื่อประกอบเข้าระบบ โดยมีมูลค่าเงินลงทุนปีนี้ราว 5.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้มาร์จินของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูง 22-30% และสินค้าตัวนี้จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปีนี้ในสัดส่วน 25% และจะเพิ่มรายได้ถึง 50% ของรายได้รวมในปี 2550

เขากล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศให้มากขึ้น ส่วนกรณีที่ลูกค้าเดิมคือ บริษัท โซนี่ อิริคสัน ได้ย้านฐานการผลิตไปยังประเทศจีน และไม่ได้ส่งออเดอร์ให้แก่เอสวีไอนั้น ไม่มีผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากปัจจุบันเอสวีไอมีลูกค้ารายใหม่จากการตั้งโรงงานในจีนเข้ามาทดแทน

สำหรับในปีนี้ บริษัทพยายามจะปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้ดีขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าที่มี มูลค่าเพิ่ม ให้มากขึ้น และลดสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าประเภท Non Value และยังมีการเพิ่มสายการผลิตสินค้าใหม่ในไทยคือ ?ซิสเต็ม บิลท์? หรือการผลิตเพื่อประกอบเข้าระบบ ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงเป็น 25%

โพธิ์ กล่าวต่อว่าบริษัทตั้งเป้ากำไรขั้นต้นรวมทุกผลิตภัณฑ์ในปี 2549 ไว้ที่ 10% จากปี 2548 ที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 9.5% และประมาณการไว้ว่าจะมีรายได้ทั้งปี 140-145 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโตราว 20% จากปี 2548 ที่มีรายได้ 110 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม เขาประเมินว่าผลการดำเนินงานในปี 2550 รายได้ของบริษัทจะเติบโตแรงมาก เนื่องจากจะมีรายได้จากโรงงานในจีนเข้ามาจำนวนมาก โดยจะมีออเดอร์เข้ามาครั้งละ 20 ล้านเหรียญต่อครั้ง

รายได้ปีนี้จะมาจากโรงงานที่ 1 ราว 15 ล้านเหรียญ โรงงานแห่งที่ 2 อีก 105-110 ล้านเหรียญ และจีนอีก 10 ล้านเหรียญ แต่ในปี 2550 รายได้จะพุ่งขึ้นไปอีกเป็น 170 ล้านเหรียญ โดยคาดว่าจะมีรายได้จากจีนขึ้นมาเป็น 40 ล้านเหรียญ และในไทยประมาณ 125-130 ล้านเหรียญ ซึ่งเราเน้นมาร์จินจะดีขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับเป้าหมายของเอสวีไอนั้นในอนาคตจะโฟกัสธุรกิจ ODM (Original design manufucturer)หรือ เป็นผู้รับจ้างผลิตและออกแบบ จากปัจจุบันที่เป็น EMS หรือ ผู้ให้บริการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในสัดส่วน 70% และโอดีเอ็ม 30% แต่ในอนาคตจะเพิ่มสัดส่วน ODM ให้มากขึ้นเป็น 50% ประมาณปี 2550

ส่วนโครงสร้างรายได้หลักปัจจุบันของเอสวีไอ มาจากการผลิตและประกอบวงจรควบคุมเครื่องจักร วงจรควบคุมตู้เย็นเรือเดินสมุทร และวงจรควบคุมโรงผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรมหนัก รวม 41% นอกจากนั้น ยังมีรายได้จากการผลิตและประกอบวงจรการแพทย์และอื่นๆ 30% และวงจรดิจิทัลควบคุมความปลอดภัยของธุรกิจขนาดใหญ่อีก 29%

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com