???? สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,238 | วันที่: 31/03/2006 @ 18:35:25 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ผู้บริหาร บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ยืนยันกลุ่ม คู ยังสนใจลงทุน ธนาคารพาณิชย์ไทย เพื่อต่อจิ๊กซอว์ขยายอาณาจักรทั่วโลก ควบคู่ไปกับขยายการลงทุนในจีน และเกาหลีใต้ ส่วนธุรกิจโบรกฯที่ย่ำแย่ เตรียมหาทางออกด้วยการ ควบรวมกิจการ กับบริษัทอื่น
อาณาจักรธุรกิจของ ตระกูลคู นับว่ายิ่งใหญ่ ติดอันดับ ท็อปเทน ในประเทศไต้หวัน โดยกลุ่มนี้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เป็นพันธมิตรธุรกิจกับ ตระกูลโสภณพนิช มานานเกือบ 20 ปี
ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทย 2 แห่ง ได้แก่ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) โดยเข้ามาลงทุนตั้งแต่ยังเป็น บล.เอกธำรง ล่าสุดพบว่าถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนประมาณ 35% และ บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับธนาคารกรุงเทพ แต่ กลุ่มคู ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 63.72%
ก่อนหน้านี้ กลุ่มคู ได้ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ต้องการรุกเข้าสู่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของไทย แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่มีวี่แววของการเดินหน้า
ขณะที่ บล.เคจีไอ ก็อยู่ในอาการ ถดถอย ลงอย่างมาก
กระทั่งวงการตั้งข้อสงสัยถึงแผนรุกด้านการเงินของกลุ่มคู ณ วันนี้ ถอดใจหรือยัง
วิลเลี่ยม ฟาง (หรือ เหว่ย ชาง ฟาง) กรรมการอำนวยการ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ยืนยันว่า กลุ่มคู ยังมีความตั้งใจจะลงทุนในธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ ของไทยเช่นเดิม ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการลงทุนทั่วโลก
ที่ผ่านมา กลุ่มคู ได้ขยายการลงทุนไปยังประเทศจีน และเกาหลีใต้ ส่วนประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในฐานธุรกิจหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะมีปัญหาด้านการเมือง แต่ทางกลุ่มมองธุรกิจในภาพรวม จึงเชื่อว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแผนแต่อย่างใด
ผมรู้ว่ากลุ่มคูไม่เคยที่จะล้มเลิกการลงทุน พวกเขาต้องการที่จะลงทุน และเก็บเกี่ยวธุรกิจในหลายๆ ช่องทางทั่วโลก วิลเลี่ยม ฟาง กล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ยืนยันว่า การก้าวขึ้นเป็นแบงก์นั้น ทางกลุ่มคูไม่ได้เร่งรีบ เพราะเกรงว่าจะต้องซื้อมาในราคาแพง ซึ่ง กลุ่มคู กำลังรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม
ส่วนธุรกิจหลักทรัพย์นั้น วิลเลี่ยม บอกว่า สาเหตุที่ มาร์เก็ตแชร์ ของ บล.เคจีไอ ลดลงมาโดยตลอด เกิดจากบริษัทถูกแย่งตัวเจ้าหน้าที่การตลาดไปจำนวนหนึ่ง แม้จะมีคนใหม่เข้ามาแต่ก็ทำวอลุ่มได้ไม่เท่ากับกลุ่มเดิม
ขณะนี้บริษัทกำลังหาทางออกด้วยการ ควบรวมกิจการ กับโบรกเกอร์รายอื่น ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 30 บริษัท (มากเกินไป) และหากมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น บริษัทก็อาจจะใช้วิธีลดค่าคอมมิชชั่นให้ต่ำ เพื่อดึงลูกค้าเข้ามา
แม้ว่าจะขาดทุน แต่ด้วยฐานเงินทุนที่ใหญ่ทำให้บริษัทได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน ซึ่งจะเป็นผลดีให้ บล.เคจีไอ สามารถควบรวมกิจการกับโบรกฯอื่นได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ จะมีข้อสรุปให้ยืดเวลาการเปิดเสรีคอมมิชชั่นออกไปอีก 3 ปี แต่ วิลเลี่ยม ฟาง ก็ยังเชื่อว่าในที่สุดแล้วประเทศไทยจะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นอยู่ดี
เทรนด์การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นมันต้องเกิด เหมือนไต้หวันที่เปิดเสรีไปเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้โบรกรวมตัวกันเหลือแค่ 8-9 แห่งเท่านั้น ซึ่งมูลค่าของ เคจีไอ ที่เพิ่มขึ้น 5 เท่า ก็เกิดจากการควบรวมบริษัท
วิลเลี่ยม บอกว่า จากนี้ไป บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จะมีการออกผลิตภัณฑ์ทางด้านการเงินที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสใช้บริการได้มากขึ้น โดยบริษัทวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียม เพิ่มขึ้นเป็น 40% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 25%
โดยในเดือนเมษายนนี้ จะออกตราสารอนุพันธ์ประเภทฟิวเจอร์ SET 50 ซึ่งเชื่อว่าจะมีการซื้อขาย 1,000 สัญญาต่อวันในปีแรก และจะทำกำไรได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังได้รับอนุญาตให้ออกผลิตภัณฑ์ REPO ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มูลค่า 10,000 ล้านบาท เชื่อว่าเคจีไอ จะเป็นผู้นำในตลาดนี้
สำหรับธุรกิจด้านวาณิชธนกิจ (ไอบี) บริษัทเริ่มทำกำไรแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา เชื่อว่าในปีนี้น่าจะทำกำไรได้มากกว่าเดิม โดยอยู่ระหว่างการเจรจานำบริษัทเข้าจดทะเบียนประมาณ 20 บริษัท ยื่นไฟลิ่งไปแล้ว 2-3 ราย
สำหรับธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ บล.เคจีไอ จะเน้นไปที่การหาลูกค้าต่างชาติให้เข้ามาเทรดผ่านบริษัทกันมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้บริษัทมีสัดส่วนการเทรดของนักลงทุนต่างชาติ เพียงประมาณ 10-15% โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มลูกค้าในส่วนนี้ให้ถึง 20%
โบรกเกอร์ที่มีวอลุ่มเทรดอยู่ในกลุ่ม TOP 10 ส่วนใหญ่จะเป็นโบรกต่างชาติแทบทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะการเทรดในตลาดหุ้นไทย วอลุ่มส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนต่างประเทศ และบางวันมูลค่าการเทรดของคนกลุ่มนี้ก็ทะยานขึ้นไปถึง 40% ของมูลค่าการซื้อขายรวม
และที่ผ่านมา ทางบริษัทก็ได้พยายามเร่งพัฒนาฝ่ายรีเสิร์ชเพื่อให้คุณภาพของงานออกมาดูแน่นยิ่งขึ้นไปอีก พร้อมๆไปกับวิธีเดินสายโรดโชว์ผลงานของเราในต่างประเทศให้มากกว่าเดิม
เราจะค่อยๆ ก้าวไป แม้มันอาจจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
วิลเลี่ยม อธิบายต่อไปถึงกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ตกเป็นเป้าหมายของเคจีไอว่า บริษัทจะให้น้ำหนักไปที่การดึงบรรดากองทุนประกันความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) ให้เข้ามาเป็นลูกค้าให้มากที่สุด
นักลงทุนกลุ่มนี้จะเน้นลงทุนแบบเข้าเร็วออกเร็ว ซึ่งจะมีความถี่ในการเทรดมากกว่าลูกค้าที่เป็นกองทุนระยะยาวจากต่างประเทศ
และหากเป็นไปตามแผนงาน ก็ฟันธงได้เลยว่าปี 2549 มาร์เก็ตแชร์ของบริษัทจะต้องสามารถไต่ขึ้นไปได้สูงกว่า 4% เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ประมาณ 3.71% เท่านั้น
ซึ่งในปีเดียวกันนี้ บล.เคจีไอ ยังพยายามที่จะ ล้างขาดทุนสะสม โดยเตรียมแผนที่จะ ลดทุน ด้วยการลดราคาพาร์หุ้น จาก 2 บาท...ให้เหลือเพียงบาทเดียว
จากนั้น จะมีส่วนเกินมูลค่าหุ้นเกิดขึ้น 1,992 ล้านบาท...ในทันที จากนั้นจะนำมาหักกลบกับส่วนต่ำมูลค่าหุ้นที่คงค้างอยู่จำนวน 1,010 ล้านบาท ให้หมดไป
เท่ากับว่า บริษัทก็จะได้ส่วนเกินมูลค่าหุ้นเป็นจำนวน 982 ล้านบาท
ในช่วงเดียวกันนี้ บล.เคจีไอ ก็ยังเตรียมแผนที่จะเสนอขายหุ้นกู้ และหุ้นกู้อนุพันธ์...เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
โดยทาง บล.เคจีไอ จะมีการเสนอขายหุ้นกู้ภายในวงเงินสูงสุด ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
|