April 26, 2024   3:52:00 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > "เอี้ยวศิวิกูล-ชินธรรมมิตร์" ติดเครื่องหุ้น SST
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 31/03/2006 @ 18:38:27
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

จับตา กลุ่มชินธรรมมิตร์ และ เอี้ยวศิวิกูล เดินแผนปั้นหุ้น ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า (SST) หลังเทคโอเวอร์มาจากธนาคารไทยพาณิชย์ วงในชี้ หุ้นใหญ่ เตรียมคายหุ้นเพิ่มสภาพคล่อง ก่อนที่เกมต่อไปจะปรับมูลค่าทางบัญชีเพิ่มอีก 20 บาท พร้อมเพิ่มพื้นที่คลังสินค้า


โดยแผนแรก มีมติ แตกพาร์หุ้น จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท เพื่อเพิ่ม จำนวนหุ้นสามัญขึ้นจาก 12.10 ล้านหุ้น เป็น 121 ล้านหุ้น คาดว่าพาร์ใหม่จะสามารถซื้อขายได้ประมาณ เดือนพฤษภาคม 2549

นับเป็นภาพความเคลื่อนไหว (ครั้งใหม่) ของกลุ่ม ชินธรรมมิตร์ ซึ่งนำโดย ศุภสิทธิ์ สุขะนินทร์ หลานชายของ จำรูญ ชินธรรมมิตร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น (KSL) ที่ทางกลุ่มเตรียมเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า

ขณะเดียวกันก็ได้แรงหนุนจาก กมล เอี้ยวศิวิกูล ที่เข้ามาถือหุ้นในนามส่วนตัว 20% โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้ ได้เข้ามาเทคโอเวอร์ บริษัท ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า จาก ธนาคารไทยพาณิชย์ ในสัดส่วน 78.29% ที่ราคาหุ้นละ 51.25 บาท เมื่อเดือน พ.ย. 2548

โดยก่อนหน้านี้ กมล เคยให้เหตุผลในการเข้าซื้อหุ้น SST เพราะบริษัทเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และจ่ายปันผลดีมาตลอด หากมีการบริหารจัดการดีๆ มีการเพิ่มสภาพคล่องให้มากขึ้น จะเป็นหุ้นที่น่าสนใจตัวหนึ่ง

ขณะที่ เจริญ บุญมโนทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน บอกกับ ผู้สื่อข่าว กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า สาเหตุที่ต้อง แตกพาร์ บริษัทต้องการให้หุ้นมีการซื้อขายมากขึ้น และหวังว่าการที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง กมล เอี้ยวศิวิกูล จะช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับหุ้นได้มาก

นอกจากนี้เกมที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ บริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปีสูงถึงหุ้นละ 5 บาท เพื่อจูงใจผู้ถือหุ้นอีกทางหนึ่ง โดยพบว่า กลุ่มชินธรรมมิตร์ จะได้รับเงินปันผล 35.26 ล้านบาท ขณะที่ กมล จะได้รับเงินปันผล 12.10 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 10%

เราได้เงินจากการเวนคืนพื้นที่บางส่วน ก็เลยจ่ายปันผลพิเศษ ไม่ใช่ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่มากดดันให้เราปันผลสูง ผู้จัดการฝ่ายบัญชี และการเงิน กล่าว

ด้านผู้เชี่ยวชาญในวงการตลาดทุน ประเมินว่า หลังจากแผนแตกพาร์ และจ่ายปันผล(พิเศษ) ให้กับผู้ถือหุ้นแล้ว ให้จับตาเกมต่อไปราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ก่อนที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะทยอยขายหุ้นออกมา เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น

ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของ เจริญ บุญมโนทรัพย์ ที่กล่าวกับทีมข่าวว่า สาเหตุที่หุ้นตัวนี้ไม่ไปไหน ต้องไปถาม ธนาคารไทยพาณิชย์ (ผู้ถือหุ้นเดิม) ว่ามีการปล่อยหุ้นออกมาหรือไม่ อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ถือหุ้นใหม่ ก็ควรที่จะขายหุ้นออกมาเพื่อสร้างสภาพคล่องให้มากขึ้น

ประเด็นที่น่าจับตาต่อไปสำหรับหุ้นตัวนี้ ก็คือ การประเมินราคาที่ดินใหม่ จะมีผลทำให้ มูลค่าทางบัญชี ของหุ้นเพิ่มขึ้นทันที

เจริญ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าทางบัญชี 45.07 บาทต่อหุ้น (พาร์ 10 บาท) แต่หากมีการประเมินใหม่ ก็มีโอกาสที่ มูลค่าทางบัญชี จะปรับขึ้นไปถึง 79.88 บาทต่อหุ้น

ตามแผนนี้กลุ่มชินธรรมมิตร์ และ กมล เอี้ยวศิวิกูล ที่ซื้อหุ้นมาในราคา 51.25 บาท จะมีกำไร (ทางบัญชี) เพิ่มขึ้นทันทีหุ้นละ 28.63 บาท หรือ 55.86%

จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว พบว่า บริษัท สยามแอพเพรซัล แอนด์ เซอร์วิส ได้ประเมินมูลค่าสินทรัพย์ของ ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2548

มีความเห็นว่ามูลค่ายุติธรรมของที่ดิน จำนวน 28 แปลง เนื้อที่รวม 77-3-45 ไร่ ควรจะเป็น 633.26 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีปัจจุบัน ที่ 151.32 ล้านบาท

ขณะที่มูลค่ายุติธรรมในส่วนอาคารปลูกสร้าง ควรจะเป็น 202 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี ปัจจุบันที่ 121.77 ล้านบาท

อธิบายง่ายๆ ว่า มูลค่าสินทรัพย์ของ ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า ยังมีโอกาสสูงได้อีก 562.17 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าบัญชีปัจจุบันอยู่ที่ 545.34 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เจริญ กล่าวว่า ในส่วนของการประเมินมูลค่าทางบัญชีใหม่นั้นอาจจะยังไม่จำเป็นตอนนี้ เนื่องจากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายพอสมควร

อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่มีสิทธิกำหนด ว่าจะปรับมูลค่าเท่าไหร่ ส่วนเมื่อปรับแล้วโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปใกล้เคียงกับมูลค่าหุ้นทางบัญชีใหม่หรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้

ด้านการดำเนินงานบริษัท สัมฤทธิ์ ตันติดิลกกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เปิดเผยว่า ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตขึ้น 10% จากปี 2548 ที่มีรายได้ 130 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจคลังสินค้าเติบโต 8% จากปีก่อนที่มีรายได้ 78 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจคลังเอกสารเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 52 ล้านบาท

ส่วนอัตราส่วนพื้นที่การให้บริการ (Occupancy Rate) ตั้งเป้ามีผู้ใช้ไม่ต่ำกว่า 80% จากจำนวนพื้นที่ทั้งหมด 8.1 หมื่นตารางเมตร และคาดว่าจะรักษามาร์จินให้อยู่ที่ระดับ 32% เท่าปีกับก่อน

โดยล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินโครงการขยายคลังสินค้าให้มีระดับความสูงเพิ่มขึ้น เพื่อสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และจะหันมาเน้นรายได้จากธุรกิจคลังเอกสาร เนื่องจากมีโอกาสเติบโตสูงกว่าธุรกิจคลังสินค้า เพราะกฎหมายกำหนดให้ธุรกิจจำเป็นจะต้องเก็บรักษาเอกสารทางด้านบัญชี ประมาณ 10 ปี และหากมีการวางระบบต่างที่ดี ก็สามารถใช้เทคโนโลยีในการค้นหาได้โดยไม่ต้องเดินทางมา

โดยปี 2548 คลังเอกสารมีอัตราการเติบโตสูงถึง 42% ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจคลังเอกสาร 14% เป็นอันดับ 4 ตั้งเป้าขึ้นสู่อันดับ 2 ในปี 2550 ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังพร้อมที่จะรักษาส่วนแบ่งตลาดในส่วนของการรับฝากปุ๋ยเคมีอันดับ 1 แต่เชื่อว่าสัดส่วนรายได้จาก คลังเอกสาร ต่อ คลังสินค้า ในอีก 2 ปีข้างหน้า จะอยู่ที่ระดับ 50% เท่ากัน

เขาบอกต่อว่า แผนการลงทุนปีนี้จะใช้เงินอีก 80 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างคลังเอกสารแห่งที่ 3 โดยมีงบลงทุนทั้งสิ้น 185 ล้านบาท ซึ่งในปี 2548 ใช้เงินลงทุนไปแล้วประมาณ 100 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2549 ระยะแรกคาดว่าจะมีอัตราการใช้พื้นที่ประมาณ 60%

ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังมีโครงการลงทุนอีก แต่ยังไม่สามารถที่จะบอกได้ในขณะนี้

ในธุรกิจคลังสินค้านั้น ช่วงแรกอาจจะต้องลงทุนมากหน่อย เพราะอุปกรณ์ต่างๆ ต้องใช้เวลาในการตัดค่าเสื่อมเพียง 5 ปี ยกเว้นในส่วนของตึกนั้นจะตัดค่าเสื่อมประมาณ 30 ปี แต่หลังจาก 5 ปี ต้นทุนก็จะลดลงมาก ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากความเจริญที่เข้ามา สัมฤทธิ์ ตันติดิลกกุล กล่าวทิ้งท้าย




ที่มา กรุงเทพธุรกิจ BizWeek[/color:5ee59aad25">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com