April 20, 2024   9:11:18 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เจ๊งหุ้น 392 ล้านแต่วันนี้รวยขึ้น 10เ ท่า พายัพ ชินวัตร !!
 

tummeng
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 18
วันที่: 03/09/2005 @ 15:02:32
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ยาวมากๆๆครับ

*********************

เจ๊งหุ้น 392 ล้านแต่วันนี้รวยขึ้น 10เ ท่า พายัพ ชินวัตร !!

โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 1 กันยายน 2548 16:15 น.





? ชื่อพายัพ ชินวัตร โด่งดังมากในฐานะน้องชายนายกรัฐมนตรีที่
พัวพันการปั่นหุ้น ทั้ง ewc emc ple ktech??.
?เมื่อปี 2540 พายัพ ขาดทุนหุ้นเสียหายกว่า 392 ล้านบาท แต่วันนี้เขาสามารถสร้างกำไรจากตลาดหุ้น มีเงินและสินทรัพย์สูงเกือบ 10 เท่าของที่เคยเสียไป
?แม้กลต.สั่งจับตาในฐานะนักปั่นหุ้น แต่พันธมิตรและตัวเขาเองเชื่อว่านี่คือการลงทุนแบบ Invesment Banker ที่ชาญฉลาด ที่สุด
?เทคนิควิธีเล่นหุ้นของเขาง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ...!!
?ส่วนเส้นทางการเมือง จะไปทิศทางใดและเอื้อประโยชน์กับตลาดหุ้นหรือไม่ !?......พร้อมกับคำยืนยันที่ว่า อีก 3 เดือนจะมีข่าวใหญ่ในตลาดหุ้น............. ต้องไม่พลาด

***********

เมื่อกล่าวถึงคนชื่อ พายัพ ชินวัตร นอกจากจะมองว่าเป็นน้องชายคนสุดท้องของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแล้ว คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขาถูกมองเป็นหนึ่งใน ขาใหญ่ ในตลาดหุ้นคนหนึ่ง ที่ถูกสังคมจับตามาตลอดว่าเป็น นักปั่นหุ้น ตัวยง พอ ๆ กับ ขาใหญ่นามเสี่ย ป. และขาใหญ่กลุ่มคุณหมอ

เคยถือหุ้นแรง แต่ไม่ได้ปั่น
พฤติกรรมการถือหุ้นของ พายัพ นิยมเก็บหุ้นเล็กๆ ไว้ในพอร์ท หุ้นที่เขาเคยถือไว้ ต่างก็มีการขึ้นลงของราคาที่ร้อนแรงอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น EMC, EWC, KTECH,STRD ก็ทำให้กลต. หัวหมุนมาแล้วไม่รู้กี่รอบ โดยเฉพาะหุ้น EWC ที่มีการเคลื่อนไหวมากและเขาได้ ขายทิ้งไปเมื่อ เมษายน 2548 ที่ผ่านมา ส่วน EMC ยังคงให้ลูกชาย ฤภพ ถือหุ้นไว้ในพอร์ท

นอกจากพายัพจะถูกจับตาในฐานะที่เคยเป็นผู้ถือหุ้น EMC, EWC แล้ว เขายังถูกมองว่าเป็นตัวจักรสำคัญในการเดินหมากเพื่อผลักดันหุ้นบริษัทพาวเวอร์ พี (PP) เขาซื้อขายในตลาดหุ้นฯ จนกระทั่งเป็นเหตุให้ กลต.ต้องสั่งตรวจสอบและรอวันอนุมัติให้ทำการซื้อขายได้

ในช่วงนั้นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจ ต่างจับตาหุ้นเหล่านี้ตาเป็นมัน พร้อมๆกับจับตาผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างพายัพด้วย หุ้น EWC พุ่งพรวด 12.79% รับ พายัพ ชินวัตรเข้าถือหุ้นกว่า 3% หรือ พายัพ ลุยเก็บ BNT เพิ่ม 3% ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นอันดับสาม หรือ เปิดกระเป๋า BNT ตามกลิ่นเงิน ก๊วน EMC โผล่ถือหุ้นใหญ่ หุ้นใหญ่ BNT ซื้อขายหลายรอบ โบรกฯไม่เชื่อ พายัพ ขายหมด หรือชำแหละขุมข่ายพันธมิตรรีแฮบ หุ้นการเมือง

นี่เป็นแค่บางส่วนเท่านั้นที่สังคมกำลังเฝ้าติดตาม และตรวจสอบ เนื่องเพราะหุ้นที่เขาถือมีราคาติดจรวดเกือบทุกตัว จึงไม่อาจปฏิเสธได้ถึงคำถามที่ตามมา เพราะด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ แม้เขาจะยังไม่โดนกล่าวโทษจากกลต. ในข้อหาปั่นหุ้น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงผลประโยชน์ที่เขาได้รับจากการขึ้นลงราคาหุ้น จึงได้รับฉายาอย่างไม่เป็นทางการจากวงการหุ้นว่าเขาและก๊วน คือนักปั่นหุ้นตัวยง

ในเรื่องการปั่นหุ้นนั้น พายัพ ปฏิเสธหนักแน่นว่า เขาไม่ใช่นักปั่นหุ้นอย่างที่สังคมกำลังให้สมญานาม เพราะเขาถือว่าตัวเองเป็นแค่นักลงทุนคนหนึ่งที่เล่นหุ้นแล้วก็อยากมีกำไรกลับคืนมา ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากนักลงทุนคนอื่น

คุณว่าผมผิดไหม ที่ผมให้โอกาสเขา (กลุ่มรีแฮป) พอผมซื้อ ตั้งใจไว้ในใจว่า ผมกำไร 20% ก็พอใจแล้ว กะว่าปีหนึ่งก็คงขึ้น 20% แต่ 7 วันมันขึ้นแล้ว 20% บางทีผมก็ไม่อยู่แล้วผมก็ออก พูดกันตรงๆเราก็ขาย เราก็เป็นนักลงทุนคนหนึ่ง อย่างผมซื้อที่ดินมาว่าจะเอามาลงทุน พอมีคนมาซื้อ ผมกำไร ผมก็ขาย

หุ้นมันไม่แคร์การเมืองหรอก เวลาเล่นหุ้นก็เหมือนเล่นกอล์ฟ ตีไม่เป็นก็คือตีไม่เป็นแหละ คนที่เล่นหุ้นก็ส่วนเล่นหุ้น ถ้าคุณจะเล่นหุ้นคุณก็ต้องไปปรึกษาคนเล่นหุ้น พยายามโยงผมกับการเมือง พยายามโยงให้ผมเป็นคนปั่นหุ้น ปั่นขึ้นก็โอเคน่ะ แล้วปั่นลงล่ะ ทำไมไม่ว่าผมปั่นลงบ้าง เวลาผมถือหุ้นมันก็ลงบ้าง ผมก็ขาดทุน ผมก็คนนะ

แต่จะมีกี่คนที่ทราบว่าเขาเคยบาดเจ็บจากตลาดหุ้นมาอย่างแสนสาหัส เพราะย้อนกลับไป 16 ปีที่แล้ว พายัพก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องพ่ายแพ้ต่อพิษต้มยำกุ้ง และสูญเสียเงินในตลาดหุ้นไปหลายร้อยล้าน

อดีตเคยพังเพราะหุ้นและอสังหาฯ
เมื่อปี25 32-2533 หรือประมาณ 16 ปีที่แล้วพายัพ ก็เหมือนกับนักลงทุนทั่วไป ที่มุ่งจะเก็งกำไรจากตลาดหุ้นและธุรกิจที่ดินที่กำลังเบ่งบานเป็นดอกเห็ดอยู่ ณ ขนาดนั้น แต่เป็นเพราะด้วยวัยเพียง30 ต้น ๆในตอนนั้น ทำให้ไม่มีการวางแผนการเดินเกมธุรกิจที่รัดกุม อีกทั้งเข้าออกไม่ถูกจังหวะ ซ้ำร้ายมาเจอกับภาวะเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นดิ่งลงเหวอย่างแรง จึงทำให้เขาต้องม้วนเสื่อกลับไปเลียบาดแผลเสียก่อน

สมัยก่อนผมก็เล่นไปเรื่อย แหละ มีอนาคตบ้างไม่มีอนาคตบ้าง เข้ามาเล่นแรกๆก็เจ๊ง 16 ปีที่แล้ว เข้ามาในตลาดตอนมันขึ้นไปที่ 1200 แล้วมันดิ่งลงไปเรื่อยๆ ระหว่างเล่นไปกำไรขาดทุนไม่ได้พูดถึง แต่จำแม่นๆเลยว่าตอนล้างพอร์ท ปี 2538จำแม่นๆเลย ขาดทุนไป 392 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ธุรกิจประเภทนี้บูมสูงสุดในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี พายัพก็หวังเข้ามาคว้าทองกับเขาเช่นกัน โดยได้ลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำการซื้อที่ดินมาพัฒนา แต่โชคก็ยังไม่อำนวย ประกอบกับความไม่เชี่ยวชาญในธุรกิจนี้โดยตรง ทำให้เขาเข้าไปซื้อที่ดินในช่วงที่ราคาสูง และยังไม่ทันนำมาพัฒนา ก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เสียก่อน ทำให้ พายัพ ต้องสูญเงินไปกับธุรกิจนี้หลายร้อยล้านบาทเช่นกัน

อีกทั้งเป็นช่วงที่เข้าลงทุนสร้างโรงงานไหม ที่จังหวัดชลบุรี และยังมาเจอพิษเศรษฐกิจจากการลดค่าเงินบาทเมื่อช่วงปี 40 ทำให้เขาเป็นหนี้เป็นสิ้นถึงขั้นล้มละลายและเมื่อปีที่ผ่านมาบริษัทชินวัตรไหมไทย จำกัด ได้ออกจากแผนฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว

เมื่อปี 40 พายัพ ดิ้นรนที่จะหาเงินมาแก้ปัญหาโรงงาน และได้ไปหยิบพี่ชาย 50-60 ล้าน แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือทำให้เขารู้สึกเจ็บลึก ๆ และเข้าใจว่าเหตุที่พี่ชายไม่ช่วยเพราะติดปัญหาจากฝ่ายหญิง แหล่งข่าวใกล้ชิด พายัพ ระบุ

ดังนั้นบทเรียนที่ผ่านมาทำให้พายัพเข้าใจว่า การทำธุรกิจ ไม่ควรจะแห่กันไปทำตามๆ กัน แต่ควรที่จะมีความรู้จริงในเรื่องนั้น ๆ ก่อน เช่นเดียวกันกับการเล่นหุ้น บทเรียนครั้งนั้นทำให้เขากลายเป็นคนเล่นหุ้นอย่างฉลาด และกลายเป็นมืออาชีพในระดับ ขาใหญ่ ในระยะเวลาไม่นานนัก

กลวิธีเล่นหุ้นแบบชาญฉลาด
คุณลองคิดดูซิว่า ขาดทุน 392 ล้านให้บทเรียนอะไรบ้าง นับเอาเลย ตอนนั้นฝึกสมาธิแบบมหาศาล ตอนนี้ก็ชัดขึ้น แม่นขึ้น แต่ก่อนใครว่าดีก็ซื้อ เจ๊งก็เยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ต้องดูงบการเงิน ดูรีเซิร์ช ดูกราฟ ฟรีโฟลทหุ้นที่มีอยู่ข้างในบ้าง ดูอนาคต ดูกันให้ลึกซึ้ง ต้องศึกษาให้ละเอียดก่อนลงทุน

การกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นอีกครั้งของเขา จึงมา พร้อมกับการวิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้น ไม่เชื่อข่าวลืออย่างที่สมัยก่อนอย่างที่เคยเป็น ตอนนี้เรียกได้ว่า พายัพ เป็นผู้รู้เกี่ยวกับหุ้นไทยคนหนึ่ง เพราะเงินที่เสียไป 392 ล้านตอนนั้น เขาได้เงินจำนวนนั้นกลับคืนมาหมดแล้ว แถบยังได้กำไรกลับคืนมาอีกเกือบ10เท่าจากการกลับเข้ามาในตลาดหุ้นรอบที่สองนี้เอง

อีกทั้งกำไรที่ได้นี้ยังเป็นกำไรที่ซื้อขายในตลาดยังไม่ได้ขายออกมาเป็นเงินสด นั้นก็คือเขาได้กำไรจากการเพิ่มของราคาหุ้น 7-10 เท่า เพราะเขาเลือกที่จะกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้งเมื่อดัชนีของตลาดอยู่ที่ 300 จุดเขาช้อนซื้อหุ้นได้ต้นทุนต่ำ

โดยหุ้นที่ทำกำไรให้เขาที่ผ่านมา เป็นกลุ่ม สื่อสาร, บันเทิง และ กลุ่มรีแฮบ(การฟื้นฟูกิจการ) ที่เพื่อนๆในก๊วนต้องวิ่งมาหาเขาเพื่อช่วยเหลือทางการเงินหลังพิษเศรษฐกิจ และทั้งสามกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทำให้เขากลับมาฟื้นคืนมาได้

รีแฮป มีหุ้นบางตัวที่ผมเข้าไปซื้อตั้งแต่เขาเลิกเทรด พอดีเป็นเพื่อนกัน พรรคพวกกัน พอดีเขาเดือดร้อนมา ก็ขึ้นศาลเข้ากระบวนการฟื้นฟู มีปัญหาก็เข้าไปช่วย เขาเพิ่มทุน เราก็เอาเงินลงทุนใส่เข้าไป เราก็มีหุ้น ก็พัฒนาบริษัทนี้ให้เจริญรุ่งเรืองมาเรื่อย หุ้นมันก็ขึ้นๆ ตอนนั้นเราซื้อมาถูก ตอนนี้เราก็พอมีกำไรบ้าง

นอกจากนั้นเคล็ดลับการเล่นหุ้นของพายัพก็คือ ความสามัคคี เขาจะชักชวนพรรคพวก แล้วชวนกันไปซื้อหุ้นตัวนั้นด้วยกัน แน่นอนว่าเมื่อความต้องการเกิด ราคาก็ต้องสูงขึ้นกว่าเดิมแน่นอน แต่เขาก็ต้องมีความสามัคคีกับเพื่อนๆในกลุ่มไม่ขายหุ้นทิ้งไปเสียก่อนด้วย

ปัจจุบันหุ้นที่พายัพถืออยู่อย่างสามัคคีมีอยู่ในพอร์ทแค่ 4 ตัว คือ BNT อันดับที่3 จำนวนหุ้น 81,4600,000 หุ้น ASL ลำดับที่ 5 จำนวนหุ้น 7,774,400 หุ้น STRD ลำดับที่ 5 จำนวนหุ้น 919,100 หุ้น และ KTECH ลำดับที่ 7 จำนวนหุ้น 4,000,000 หุ้น และยังเหลือที่ดินบางส่วนจากวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ยังอยู่ในมือบ้าง

พายัพ คือ Invesment banker
อย่างไรก็ดี ผู้จัดการรายสัปดาห์ ได้สอบถามนักการเงิน และนักเทคโอเวอร์กิจการในตลาดหลักทรัพย์ 2ท่าน ที่รู้จักและสนิทสนมกับพายัพ ถึงข้อมูลที่พายัพ ได้อธิบายว่าเคยเจ๊งหุ้นกว่า 392 ล้านบาทและวันนี้เรียกได้ว่ามีกำไรถึง 10 เท่าตัวนั้น น่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่ง ต่างกล่าวตรงกันว่า สิ่งที่พายัพพูดนั้น เป็นความจริง และอาจจะรวยมากกว่า 10 เท่าด้วย เนื่องจากการเข้าไปเล่นหุ้นครั้งนี้ พายัพเล่นแบบชาญฉลาด และยอมรับว่าการเข้าไปซื้อหุ้นแต่ละครั้งของพายัพเป็นเหมือน Invesment banker โดยเลือกที่จะซื้อหุ้นที่เคยอยู่ในตลาด แต่ถูกทิ้งแล้ว เช่นหุ้นในกลุ่มรีแฮบโก้ จากนั้นนำมาลดทุน และเพิ่มทุน ดึงผู้บริหารที่มีประสบการณ์เข้ามา และใช้เวลาสร้างความเติบโตให้กับบริษัทก่อน จากนั้นก็ผลักดันให้หุ้นเข้าเทรดได้ในตลาดฯ

วิธีการทำของพายัพ ก็ต้องบอกว่า เขาก็เสี่ยงเหมือนกัน คือเขาต้องใส่เงินจำนวนมากลงไปก่อน เพื่อให้บริษัทเติบโต และเมื่อเทรดในตลาดได้ ในราคาที่เหมาะสม จะขายไปบ้างก็ควรจะเป็นสิทธิของเขา ซึ่งที่ผ่านมาเขาจะปล่อยขายเพียง 10-15% จากหุ้นทั้งหมดของเขา
นอกจากนี้นักการเงินและนักเทคโอเวอร์ ยังได้อธิบายว่า วิธีการของพายัพจะไม่ซ้ำซ้อนและเป็นธรรมกว่า พวกปั่นหุ้น ที่มักจะมีการตกแต่งบัญชี ซึ่งหากกลต.เห็นว่าพายัพ กระทำแบบนั้น ก็ไม่ควรให้บริษัทของเขาเข้าไปเทรดตั้งแต่ต้น แต่นี่ทุกอย่างผ่านกระบวนการอย่างถูกต้องและเป็นธรรม โปร่งใสมากก่อนแล้ว จึงไม่น่าจะนำไปเกี่ยงโยงกับเรื่องการปั่นหุ้น

พายัพคือ Invesment banker ที่น่าสนใจ เขาซื้อของไม่ดี หรือเปรียบง่าย ๆ ซื้อรถเก่า มาปะผุ พ่นสี จนดูสวยงามและดูดีจึงได้นำออกมา ประกาศขาย หากขายได้ราคาก็ไม่ควรจะไปว่า เพราะเขาก็เสี่ยงที่ใช้เงินลงทุนไปก่อน

นอกจากนี้ยังได้รับคำอธิบายว่า ที่พายัพ กล่าวว่ากำไร 10 เท่านั้น พวกเราเชื่อและอาจจะมากกว่านั้น เพราะพายัพ คิดจากจำนวนหุ้นและราคาหุ้นที่เขามีอยู่ในปัจจุบัน โดยยังไม่ได้มีการขายออกมา เพราะทันทีที่เขาขายออกมา ก็จะเห็นว่าเม็ดเงินที่ขายออกมานั้นสูงกว่าตัวเลขที่เคยขาดทุนถึง 392 ล้านบาท คือเกือบ 4 พันล้านบาท

กฎกลต.ทำตลาดหุ้นดิ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพายัพ มีความผูกพันกับตลาดหลักทรัพย์มานาน และเกือบทั้งชีวิตเขาผูกติดกับตลาดหลักทรัพย์ ทั้งได้และเสียวนเวียนกันไปอยู่เรื่อยๆอย่างนี้ การออกกฎกลต.ที่ผ่านมามีเป็นระยะๆ เพื่อควบคุมความร้อนแรงของตลาดหุ้น ย่อมทำให้ พายัพ เกิดความรู้สึกคับข้องใจ เช่น

การตรวจงบการเงินของPICNI, การแยกงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนออกเป็น 5 ประเภท, อีกทั้งสกัดกั้นการปั่นหุ้นและการเก็งกำไรที่ร้อนแรงเกินควร เกี่ยวกับปริมาณการซื้อขายหุ้นเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นที่อยู่ในมือประชาชน (เทิร์นโอเวอร์ลิส) ว่า หุ้นตัวใดที่มีเทิร์นโอเวอร์ลิสเกิน 100% และการควบคุมการโอนเงิน 2 ล้านบาทอีกด้วย กฎ เหล่านี้ทำให้พายัพรู้สึกว่า กลต.กำลังฉุดดัชนีตลาดให้ดิ่งเลงเหว เพราะเป็นการเบรกตลาดมากเกินไป

ซ้ำร้ายกฏและข้อบังคับบางอย่างกลับไปขัดขวางประชาชนไม่ให้มาลงทุนในตลาดหุ้น กฏบางอย่างก็ล้าหลังไม่ทันต่อสมัยนิยม ทั้ง ๆ ที่การปล่อยให้หุ้นขึ้นบ้าง มีแต่จะดีต่อประเทศ เพราะจะสร้างความเชื่อมั่น มีฐานะทางการเงินแข็งแร่ง ดัชนีอยู่ในระดับสูง ซึ่งถือว่าเป็นการทำมาร์เก็ตติ้งชั้นสูง แต่ตอนนี้ผู้วางกฎกลับมาทำลายตรงนี้ลง ออกกฎมาบีบรัดคนซื้อคนขายหุ้น ตลาดหุ้นรวมก็ไม่โต

ตลาดหุ้นไทย เงินต่างประเทศมาซื้อหุ้น เราก็แห่ตาม แล้วเขาก็ขายเอากำไรกลับไป เหมือนเราออกกฎเกณฑ์ช่วยต่างประเทศปั่นหุ้น ทำไมเราไม่ช่วยกันยกระดับฐานะ เช่น หุ้นไหนไม่ดี คุณก็ตั้งกฎเกณฑ์มาซิ กำหนด เฟรมเวิร์กมา นี่คุณไปกล่าวหา นาย ก. นาย ข. ว่าไปปั่นหุ้น มันกลายเป็น เวลาหุ้นขึ้นก็หาว่าปั่น แล้วถามจริงเวลาซื้อหุ้นคนไหนอยากขาดทุน ตอนผมขาดทุนมีใครว่าบ้าง คนเรานี้แปลกทำไมไม่ช่วยกันรวย แล้วถ้าหุ้นมันขึ้นไปSET INDEX ขึ้นไปพันจุด ประเทศเราจะเดือดร้อนเหรอ นี่ตกลงไปทุกวันๆ

นอกจากนั้นพายัพมองว่าในตลาดหุ้นนั้นต้องมี ทั้งนักเก็งกำไร นักลงทุนระยะสั้น ระยะยาว หรือแม้กระทั่ง นักลงทุนฉวยโอกาส ตลาดหลักทรัพย์ควรปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ เพราะเมื่อกลต.จับใครคนหนึ่งอีกคนก็จะวิ่งเข้ามาใหม่ ดังนั้นกลต.จึงควรที่จะ ปล่อยและค่อยๆ จัดการไปแต่ละรายมากกว่า แต่ถ้ามีมากก็ต้องออกกฎบังคับ แต่ต้องแม่นในหลักเกณฑ์ ไม่ให้มีมาตรฐานสองระดับ พอตลาดดี ก็ออกเครื่องมือมาเพิ่มทุน

ตอนนี้ รัฐ หรือ ประเทศ ต้องสร้างความภาคภูมิใจให้ผู้ถือ ซื้อไปแล้ว นอนหลับสบายไม่ใช่ถือไปแล้วผวาเมื่อไร่มันจะตก ถือหุ้นถือว่าเป็นการลงทุนว่า1-2 ปี มันคงขึ้น ตกไปบ้างก็ไม่ตื่นเต้น ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เสียงดังหน่อย มีอะไรหุ้นก็ลง ระเบิดอยู่อังกฤษ ตลาดหุ้นไทยก็ตก มันเกี่ยวกันที่ไหน

อย่างไรก็ดี ความเห็นของพายัพ ได้รับการสนับสนุนจากบรรดานักเล่นหุ้นและนักการเงิน ซึ่งระบุว่า ตลาดหุ้นเป็นธุรกิจที่ถือว่าเป็นปัจเจกบุคคลในการเข้าไปซื้อขาย กลต.ไม่ควรจะใช้กฎเกณฑ์ที่สถาบันการเงินใช้ในการปล่อยสินเชื่อมาใช้กับตลาดหุ้น แต่กลต.จะต้องทำหน้าที่คัดสรรหุ้นที่มีคุณภาพให้เข้าเทรดในตลาดฯ และจะต้องมีข้อมูลที่แม่นยำเพื่อให้บรรดาคอหุ้นได้ข้อมูลที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง

ไม่ใช่ว่าหุ้นกำลังร้อนแรง แล้วมาห้ามเล่นมาร์จิน แต่ไม่มีข้อมูลชัดว่าหุ้นตัวนี้เกิดอะไรขึ้นจึงห้าม ตรงนี้กลต.ต้องแก้ไขและปรับปรุงเพื่อให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพที่มั่นคง แหล่งข่าวระบุ

ขอนายกฯ แก้ตลาดหุ้น
บรรยากาศที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ พายัพ บอกว่า เขาจึงอยากมีส่วนร่วมที่จะพัฒนาตลาดหุ้นไทย เพื่อผลักดันดัชนีให้ไปถึง 1500 จุด เพราะเขาเชื่อว่าเมื่อตลาดหุ้นดี เศรษฐกิจหรือGDP ประเทศ จะดีตามไปด้วย ปัจจุบันนักธุรกิจมากมายที่เงินจมอยู่ในหุ้นจนไม่สามารถนำเงินไปลงทุนอย่างอื่นได้ ดังนั้นพายัพจึงปรารภกับพี่ชาย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรเช่นกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังทำอะไรมากไม่ได้ เพราะชื่อเสียงในทางไม่ดีที่สังคมกล่าวหาเขาในตลาดหุ้นยังคงไม่จางไป

เคยปรารภกับท่านนายกนะ แต่ท่านบอกว่าอยากให้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่ผมก็อยากเขาไปมีส่วนร่วมในการทำให้ตลาดหุ้นดี และมั่นคง สังคมกล่าวหาว่าผมเป็นคนปั่นหุ้นอยู่ ผมเป็นน้องนายกบ้าง ใครจะกล้าตั้งผมเขาไปมีส่วนแก้ไข พอผมฟ้องใครใครจะเชื่อ สังคมจะกล่าวหาผม ผมถือหุ้นอันไหน ก็กล่าวหาว่าผมปั่นหุ้น

แต่พายัพก็เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะฟื้นตัว แต่ต้องมีการปรับองค์กรอย่างชัดเจน เช่น แก้กฎบางข้อ ปรับกฎเกณฑ์ คัดสรรบางตลาด ปรับบุคลากรบางส่วน โดยเฉพาะบุคลากร พายัพต้องการให้ปรับมากเป็นพิเศษ เช่นปรับด้านแนวคิด และนโยบาย อาจจะต้องมีการเปลี่ยนตัว ซึ่งคาดว่าเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงพอสมควร เพื่อสร้างเครดิตของประเทศ

บางคนเขาก็ไม่ผิด แต่ว่าก็เหมือนรถยางแบน แล้วเขาขันน็อตตัวเดียว ขันจนแน่น ทำให้รถทั้งหมดวิ่งไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ผิดนะ ถ้าคิดว่าทำตามหน้าที่ แต่โดยรวมหยุด มันกระทบไปหมด

อีก 3 เดือนตลาดหุ้นบูมแน่
เมื่อความเชื่อของพายัพที่ว่า ตลาดหุ้นจะเป็นตัวนำเศรษฐกิจในประเทศให้โตตามไปด้วย เพราะที่ผ่านมาเมื่อรัฐบาลมีการกระตุ้นตลาดหุ้นเศรษฐกิจของประเทศก็โตไปด้วยเช่นกัน เห็นได้จากปี 2546-2547 นั้นเป็นช่วงที่กระทรวงการคลังส่งเสริมให้บริษัทใช้เงินทุนจากตลาดหุ้น โดยหนุนให้ตลาด MAI เกิดขึ้น ทั้งหนุนหุ้น IPO ใหม่ๆและการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในช่วงนั้นเงินในระบบไหลเข้า-ออกอย่างสะดวก เศรษฐกิจของประเทศดูสดใส จะคิดลงทุนอะไรก็สะดวกไปเสียหมด หรือการจัดงาน Thailand Focus ที่เชิญนักลงทุนต่างประเทศเข้ามา ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งของรัฐบาลที่ทำให้ตลาดหุ้นมีความคึกคักขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง พายัพ จึงมองว่าถ้าเศรษฐกิจบ้านเราจะโตได้ต้องผลักดันตลาดหุ้นให้โตเป็นสิ่งแรก แต่การปรับปรุงอะไรนั้น ต้องรอเวลาให้มันสุกงอม เขาคาดว่าจากนี้ไปอีก 3 เดือน จะต้องมีการกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์บ้านเราแน่นอน เพื่อกระตุกตลาดให้มันมีทิศทางอยู่แนวบวก ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นด้วย 3 ปัจจัยคือ ตัวตลาดเกิดปรับตัวขึ้นมาเอง หรือ ปัจจัยภายนอกที่มากระทบ หรือจะมาจากการกระตุ้นจากภาครัฐที่ต้องการให้เกิดการลงทุนในตลาดทุนมากขึ้น หรืออาจจะมีหุ้นอัศวินบางตัว เข้ามาทำให้ตลาดสดใสก็เป็นได้ ...สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ พายัพ บอกว่า บรรดานักลงทุนต้องติดตามเพื่อประโยชน์ของตนเองและส่วนรวม !

*************

Investment banker
โอกาสได้กำไรมากกว่าขาดทุน !

ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานกรรมการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า แห่งประเทศไทย กล่าวว่า Investment banker หรือ วานิชธนกร มีบทบาทเกี่ยวกับการเงิน ศึกษาสภาพการลงทุน ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็น FA แนะนำให้เจ้าของธุรกิจนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งแนะนำในการออกหุ้นกู้ หรือ การเพิ่มทุน เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ฉะนั้นคนที่เป็น Investment banker จึงเป็นคนที่ต้องศึกษาการเงิน การบัญชี และปรับข้อมูลที่มีอยู่ให้ทันสมัยอยู่ตลอด เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีข้อมูลมากกว่าคนอื่น โดยเฉพาะข้อมูล 3 ส่วนคือ

1.ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค ว่าขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างไร เศรษฐกิจขยายตัวมากน้อยแค่ไหน ค่าเงินบาท และดอกเบี้ย เป็นอย่างไร

2.ข้อมูลหุ้นในแต่ละหมวด เช่น ปตท. ก็ต้องรู้เรื่องของหมวดพลังงาน ว่าขณะนั้นหุ้นในหมวดพลังงานทั้งหมดเป็นอย่างไร แนวโน้มเป็นอย่างไร

3.ข้อมูลรายบริษัทแบบเจาะลึก
คนเหล่านี้เมื่อไปลงทุนในตลาดหุ้นเองก็จะได้เปรียบคนอื่น เพราะข้อมูลมีมากกว่าคนอื่น และการมีข้อมูลจะทำให้ตัดสินใจได้ดี โอกาสจะได้กำไรก็มีมากกว่าขาดทุน

นักลงทุนรายย่อยก็จะตามคนกลุ่มนี้ไม่ทัน อย่างหุ้นบางตัวมีแนวโน้มดี Investment banker เขาก็ไปลงทุนก่อนใคร พอรายย่อยซื้อตาม เขาก็ขายหุ้นออกพอดี

สำหรับคนที่อยากจะเป็น Investment banker คุณสมบัติสำคัญที่ต้องมีคือนอกจากต้องรู้เรื่องเงิน การบัญชี และรู้เรื่องทางเทคนิค เช่น กฎหมาย กฎ ระเบียบ กลต.ฯลฯ แล้ว จำเป็นจะต้องเก่งภาษาอังกฤษ เพราะในการทำราคาหุ้น ต้องมีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ต้องยอมรับว่าหุ้นในเมืองไทยที่ราคาดี เป็นเพราะต่างชาตินิยมเข้ามาลงทุน ฉะนั้นการเก่งภาษาอังกฤษจึงเป็นความจำเป็นที่นักลงทุนควรมี

*****************

เล่นการเมืองสไตล์ พายัพ
โลว์โปรไฟร์ ไฮโปรฟิท !

หลายคนอาจมองว่าพายัพ ชินวัตร มีพี่ชายเป็นถึงผู้นำรัฐบาล หัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ แถมยังมีน้องสาว เจ้าแม่วังน้ำยมเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นบิ๊กอันดับต้นๆของพรรคไทยรักไทย เขาอาจไม่จำเป็นต้อง ปูทาง สร้างฐานในการที่เข้าสู่เส้นทางการเมือง เพียงแต่อาศัยความเป็น พี่น้อง เป็นใบเบิกทางให้ เดินเข้าสู่สังเวียนได้โดยสะดวก

ต้องขอบอกว่า ผิดถนัด..!
คุณคิดว่าการเป็นน้องนายกฯ ทักษิณ มันง่ายนักหรือ คุณต้องรู้ว่าการเป็นน้องชายนายกรัฐมนตรี ต้องวางตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม บางทีก็อึดอัด แต่เรื่องอย่างนี้อย่าไปถือ มันจะหนักทันทีเลย
บางทีคนก็นึกว่า ผมพูดอะไรท่านก็ต้องฟังผม ไม่ใช่เลยเพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านจะเป็นนายกฯได้อย่างไร ผมจะมีอะไรไปบอกท่านได้ แค่ชื่อท่าน ทักษิณ อยู่เหนือ แต่ผม พายัพ อยู่อีกด้านหนึ่งเลย ก็ต่างกันแล้ว

พายัพ เผยความรู้สึกในอีกมุมหนึ่ง ที่หลายคนอาจจะอยากรู้ และน่าจะเป็นการตอบคำถามในอีกหลายเรื่องได้เป็นอย่างดี ถึงเส้นทางการเข้าสู่เวทีการเมืองของ พายัพ ชินวัตร ว่าเขาอาศัยบารมีพี่ชาย จริงหรือไม่... ?

อาจคาดไม่ถึงว่า พายัพ ที่ดูเหมือนโลว์ โปรไฟล์ แต่แท้ที่จริงแล้ว เขาเองกลับมีเพื่อนพ้องหลากหลายกลุ่ม ในวงการต่างๆ ทั้งที่มาจากการทำธุรกิจด้วยกัน กลุ่มเซียนพระเครื่อง กลุ่มก๊วนกอล์ฟ ซึ่งตัวพายัพ เองบอกว่าเขาเหมือนคนที่มีหลาย มิติสามารถสังคมกับกลุ่มไหนก็ได้ ที่มีความชอบในสิ่งเดียวกัน ซึ่งหนึ่งในความชอบที่ว่านั้นก็มักจะมี กลิ่นอายการเมือง แฝงอยู่เรื่อยมา

พายัพ ชีวิตหลากมิติ
พายัพ อธิบายว่าความสนใจในเรื่องของการเมือง เขาได้ถูกบ่มเพาะมาจากประสบการณ์จริงของคนในครอบครัว จากเพื่อนพ้องรอบข้าง

ผมคงเป็นคนประเภทมีหลายมิติ คือเข้ากับใครก็ได้ มีเพื่อนเยอะ บางทีเขาแนะนำเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งให้ผมรู้จัก ก็ขยายแวดวงกันออกไปอีก เมื่อก่อนที่ผมจะไม่สบาย(ผ่าตัดเปลี่ยนไต) ก็ไปตีกอล์ฟกับ เสธ.อู้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช และพล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร

เพื่อนในแวดวงเซียนพระเครื่อง ผมก็มี อย่างน้าไช้ (ชาญชัย ปทุมมารักษ์ ) คุณนิพนธ์ พร้อมพันธ์ (รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) ก็เก่ง มีพระดีเยอะ คือผมอาจจะชอบและรู้หลายเรื่อง แต่จริงแล้วไม่เก่งหรอก..

ส่วนถ้าเป็นเพื่อนในวงการเมืองก็มีหลายพรรคเมื่อก่อน ทั้งในพรรคความหวังใหม่ แต่ที่สนิทกันมากและเคยชวนผมมาเล่นการเมืองก็ คือ คุณกร ทัพพะรังสี ตอนนั้นคุณกร ยังไม่เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเลย

การพาตัวเองเข้าสู่แวดวงการเมือง ของพายัพ ในช่วงจังหวะดังกล่าวนั้น เสมือนเป็นการเปิดโอกาสได้ศึกษาและเข้าใจการเมืองมากขึ้น โดยที่พี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รู้ดีและไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรแก่เขามากนัก อาจเป็นเพราะ พายัพ ยังไม่ได้ตัดสินใจกระโจนเข้าสู่การเมืองอย่างจริงจัง แต่แล้ววันหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้ข้อคิดแก่น้องชาย ด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่ประโยค แต่ทำให้พายัพ ยอมทบทวนการตัดสินใจในครั้งนั้นทันที...

ตอนแรกผมก็เข้าไปช่วยพรรคชาติพัฒนาบ้าง แต่ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในพรรค ก็เหมือนกับการได้ไปเรียนรู้อะไรที่เราชอบ และกับคุณกร ก็สนิทกัน ต่อมาเขาก็ชวนผมให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค ขณะเดียวกันผมก็มีเพื่อนพรรคอื่นมาชวนเหมือนกัน แต่ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจว่าคงไม่ดีกว่า เพราะจริงๆแล้วเราต้องดูด้วยว่า ใครที่เขามาชวนเราแล้ว เขาให้ความสำคัญกับเรามากแค่ไหน

บางทีการที่เราจะไปอยู่บ้านใครเขา เราต้องมีน้ำใจที่จะไปช่วยเหลือเขาด้วย เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า ทุกอย่างมันมีค่าใช้จ่าย เราจะไปอยู่เฉยๆได้หรือ ซึ่งตรงนี้ผมก็เข้าใจนะมันเป็นเรื่องของ น้ำใจ

ที่สำคัญตอนนั้นคุณทักษิณ เตือนว่า แม่เคยบอกไว้นะ ถ้าจะเล่นการเมือง เราต้องพร้อมก่อน ถ้าไม่พร้อมอย่าไปทำ อีกอย่างหนึ่งท่านนายกฯตอนนั้นก็กำลังมีชื่อเสียง อยู่อีกพรรคหนึ่ง แล้วเราจะไปอยู่อีกพรรคก็ คงไม่ค่อยดีนัก เลยตัดสินใจว่าพักไว้ก่อน

ทำการเมือง เมื่อพร้อมประโยคทองสอนใจ
ความพร้อมสำหรับ พายัพ และคนในตระกูล ชินวัตร รู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามีความสำคัญแค่ไหน หากคิดที่จะมาทำงานเพื่อชาติ เพื่อคนอื่น เนื่องจาก ในสมัยที่พ่อ ลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นส.ส. ออกไปช่วยเหลือประชาชน แต่ด้วยความไม่พร้อม ทำให้คนในครอบครัวได้รับผลกระทบตามมา เงินทองที่สะสมมาเริ่มร่อยหรอลงไป ช่วงเวลาขณะนั้น พายัพ ยังจดจำได้ดีว่า สถานการณ์การเมืองภายในบ้านเริ่มเกิดปัญหา เพราะพ่อต้องเอาเงินเก็บออกไปใช้ช่วยชาวบ้าน เรียกว่า จ่ายออกอย่างเดียว แต่ไม่มีเงินเข้ามา เหตุการณ์ในช่วงนั้นทำให้ผู้เป็นแม่ ต้องนำมาเป็นบทเรียนใช้เตือนลูกๆเรื่อยมา

เมื่อพายัพ เลือกที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ในนามทั้งสองพรรคใหญ่ ชาติพัฒนา-ความหวังใหม่ ในขณะนั้น จึงหันกลับไปเดินหน้าทำธุรกิจตามถนัดต่อไป ทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยมีเพื่อนซี้ อัศวิน วิภูศิริ อดีตนายกสมาคมบ้านจัดสรร และมีโครงการจัดสรรย่านนนทบุรีมากมาย และที่บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ ด้วยในที่สุดก็ลาออกไป ป้องกันข้อครหา พ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าของบริษัท เปิดทางให้พี่น้องเข้ามาบริหาร

ช่วงนี้ ท่านนายกฯก็เริ่มตั้งพรรคไทยรักไทย ผมก็ช่วยเท่าที่ท่านเห็นว่าเราพอจะทำตรงไหนได้บ้าง แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกส.ส.ที่เชียงใหม่ เนื่องจากเรารู้ว่ายังไม่พร้อม คือต้องดูแลธุรกิจของครอบครัวด้วย จึงมีเพียงคุณเยาวภา ลงส.ส.ไปก่อนในการเลือกตั้งเมื่อปี2544 ที่ผ่านมา

ส่วนครั้งนี้ ( 2548) ที่ผมตัดสินใจลงสมัครส.ส.เชียงใหม่ บอกเลยว่า มันมาจากความอยาก...คืออยากที่จะเข้าไปอยู่ในวงการ อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศชาติ และเราก็พร้อมแล้ว และชัดเจนในสิ่งเราต้องการทำ

ลูกพรรคทรท.ดาหน้าวิ่งเข้าหา
ความชัดเจนในหน้าที่ส.ส.เชียงใหม่ ของพายัพ ที่เขาตั้งใจที่จะทำเพื่อคนเชียงใหม่ คือการพัฒนาท้องถิ่น ด้วยโครงการ พัฒนาเมืองเวียงกุมกาม ในจังหวัด ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ด้วยการดึงความเป็นท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมของเมืองเก่า เวียงกุมกามแก่นักท่องเที่ยวทั้งในนอกประเทศ

สำหรับโครงการดังกล่าว คาดว่าจะใช้งบประมาณการลงทุน 300 ล้านบาทเพื่อพัฒนาพื้นที่50 ไร่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของท้องถิ่นเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ศิลปะ อารยธรรมเก่าแก่ของเวียงกุมกามในรูปแบบเมืองใต้บาดาล โครงการดังกล่าวนี้คาดว่าน่าจะทำให้เกิดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่อคนต่อวันละ 1,000 บาท ทำให้ชาวบ้านมีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น สำหรับเงินงบประมาณอาจขอเป็นงบท่องเที่ยว หรืองบด้านวัฒนธรรม แต่อย่างไรก็ตามโครงการยังอยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อเตรียมนำเสนอในเร็วๆนี้ต่อไป

ด้วยสถานะแห่งการเป็น น้องชายนายกฯทักษิณ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้บรรดาส.ส.ในพรรคไทยรักไทย จำนวนไม่น้อยที่ต่างวิ่งเข้าเพื่อให้ช่วยเหลือและเพื่อช่วยสะท้อนความต้องการต่างๆไปถึงหัวหน้าพรรค

ส่วนใหญ่ที่เข้ามาหาผม ให้ช่วยหลายเรื่อง บางทีก็เป็นเพราะเขาต้องการยิงเข้าไปหา นายกฯ ต่อมาก็เพราะต้องการใช้พาวเวอร์ ของผมเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้เขา ทั้งที่จริงๆแล้วปัญหาที่มาถึง 100 เรื่อง 30 % มันสลายไปเพราะตัวมันเองอยู่แล้ว

แต่รวมความแล้ว 100 เรืองก็เป็นเรื่องของความอยากทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอยากมี อยากได้ อยากรวย อยากประสบความสำเร็จ

ถึงแม้จะมีส.ส.พรรคไทยรักไทย ให้ความสำคัญและวิ่งเข้าหาพายัพ เพื่อให้ช่วยเหลือในเรื่องต่างๆก็ตาม แต่เขายังยืนยันว่า ทุกวันนี้เขาอยู่ในภายในพรรคอย่างไม่มีกลุ่มก๊วน ไม่ได้มีเพื่อนพ้องจำกัดแค่เพียง วังบัวบาน ของ เจ๊แดง อย่างที่ใครเข้าใจ แต่มิติการเมืองในนิยามของพายัพ นั้นครอบคลุมไปถึงนักการเมืองทุกฝ่าย ทั้งไทยรักไทยและ ประชาธิปัตย์

สังคมจับตา ปิดโอกาสทอง
อีกคำถามหนึ่งที่คนในตระกูล ชินวัตร ต้องคอยตอบคำถามและมักถูกจับตามองแทบทุกครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ว่า จะมีชื่อญาติพี่น้องนายกฯทักษิณ ถูกเสนอเข้ามาหรือไม่ ประเด็นดังกล่าวนี้ สำหรับ เจ๊แดง เยาวภา แล้วอาจกลายเป็นเรื่องปกติ เพราะการปรับครม.ตั้งแต่ยุคทักษิณ 1 จนมาถึงปัจจุบัน มีชื่อว่าจะเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ๆมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พายัพ ก็เช่นเดียวกันแม้เขาอาจไม่ใคร่จะขยันทำตัวให้เป็นข่าวมากนัก แต่ใช่ว่าจะรอดพ้นไปจากการถูกตั้งข้อสังเกตเดียวกัน เนื่องจากการเข้าสู่เวทีการเมืองของพายัพ ครั้งนี้แม้เหตุผลส่วนตัวที่เขายืนยันว่ามาจากความพร้อมและต้องการเสียสละช่วยเหลือชาวบ้าน แต่หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะ ทั้งเยาวภา และพายัพ ล้วนแล้วแต่ถูกวางไว้ในเวลาที่เหมาะสมแล้วทั้งสิ้น ในการเลือกตั้ง 2548 ที่ผ่านมา เมื่อเยาวภา ต้องลงสมัครในนามส.ส.บัญชีรายชื่อ พายัพ จึงถูกส่งให้มารับไม้ต่อเป็นส.ส.เขตพื้นที่ ในเขต 2 จ.เชียงใหม่ แทนที่ทันที

ความคาดหวังที่จะไต่ระดับตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง นั้นพายัพ ยอมรับว่าเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะคนในครอบครัวชินวัตร รู้ดีว่าจะขยับไปทางไหน ก็อยู่ในสายตาของสังคมตลอดเวลา จึงยอมรับว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างความอึดอัดคับข้องใจให้อยู่ไม่น้อย

ไม่เคยได้คิดตำแหน่งอะไรเลย และผมเป็นส.ส.เขตจะเป็นรัฐมนตรีไม่ได้แน่นอน และอีกอย่างสังคมกำหนดไว้แล้ว หากเราจะเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ใช้เงินอีก 10 ล้านบาทเพื่อเลือกตั้ง.ซ่อม ก็สูญเสียงบของแผ่นดิน ซึ่งถ้าคนๆนั้นเก่งจริงก็คุ้มค่า อีกอย่างสังคมเฝ้าจับตาและตอกย้ำตลอดเวลาว่าจะเอาพี่น้องมาบริหารประเทศไม่ได้

จุดนี้เรายอมรับว่ากลัวสังคมประนาม แต่ความจริงแล้ว ผมกลับคิดอีกอย่างหนึ่งว่าถ้ามีใครที่ดีกว่านายกฯแล้วบริหารบ้านเมืองได้ ผมจะสนับสนุนเลยขอให้ใครก็ได้ จะมาจากไหนก็ได้ ทำไมสังคมมองว่าต้องคอร์รัปชั่น ต้องโกงกิน ถ้ามองอย่างนี้เราทำอะไรไม่ได้เลย จริงๆแล้วอยากให้สังคมมองเรื่องการช่วยเหลือบ้านเมืองมากกว่าเรื่องของตัวบุคคล เราอยู่ตรงไหนก็ได้ เทียนไขเนเจอร์ มันสว่าง อยู่ตรงไหนมันก็สว่าง

แม้นาทีนี้ พายัพ ยังเดินไปไม่ถึงโอกาสสำคัญที่เขาตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่การสั่งสมบารมีและการตั้งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ คือการสร้างต้นทุนเอาไว้ รอจนถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม และสุกงอมมากพอ เขาอาจได้ใช้ศักยภาพตามที่ตั้งใจเอาไว้ ประกอบกับที่ผ่านมามีปัญหาในเรื่องสุขภาพ ที่ไม่เอื้ออำนวยมากนัก

หากจะเปรียบเทียบบทบาททางการเมืองกับ นายกฯทักษิณ และ เยาวภา แล้ว อาจเห็นได้ถึงความแตกต่าง เพราะ พายัพ ไม่ถนัดแนว บู๋เท่าไหร่นัก แต่ภายใต้ท่าทีเรียบเฉยนั้น หลายคนในไทยรักไทย รู้ดีว่าพายัพ ไม่ต่างไปจากอะไรกับ เสือซ่อนเล็บ ...!

***********

ทรท. ชื่นชม พายัพ ใจเกินร้อย!

ส.ส.พรรคไทยรักไทย 377 เสียงมีจำนวนไม่น้อยที่โดดเด่นและอยู่ในความสนใจของสาธารณชน แต่ดูเหมือน ส.ส.เชียงใหม่ เขต 2 พายัพ ชินวัตร ซึ่งมีสถานะเป็นถึงน้องชายที่นายกฯทักษิณ ทั้งรักทั้งห่วงคนนี้ กลับพยายามทำเก็บตัวเงียบ ไม่หวือหวา เหมือนใครๆมาโดยตลอด

ทั้งที่ความจริงแล้วส.ส.หลายคนในพรรคต่างรู้ดีว่า พายัพ คนนี้ไม่ธรรมดา เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยประสานเรื่องราวไปถึงนายกฯทักษิณ ได้โดยตรงแล้ว บ่อยครั้งที่พายัพ ช่วยปัดเป่าปัญหาให้กับเพื่อนพ้องในพรรคเท่าที่จะช่วยเหลือกันได้ โดยเฉพาะปัญหาเงิน ๆ ทอง ๆ จนสมาชิก ทรท.ยกย่องให้ พายัพใจเกินร้อย!!

บุรินทร์ หิรัญบูรณะ
ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย
ที่ผ่านมามักไม่ค่อยเห็น พายัพ ชินวัตร แสดงตัวหรือประสงค์ที่จะมีตำแหน่งอะไร ภายในพรรค หรือในทางการเมือง ตำแหน่งในคณะกรรมาธิการต่างๆในสภาผู้แทนฯ ดูเหมือนพายัพ ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

อาจเป็นเพราะ มีปัญหาในเรื่องสุขภาพร่างกาย ที่ไม่ค่อยแข็งแรง เพิ่งผ่านการผ่าตัดเปลี่ยนไตมา ก็เป็นไปได้

เท่าที่เห็น คุณพายัพ ไม่ได้หวือหวาอะไร เมื่อเทียบกับคุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่ค่อนข้างมีบทบาท มีแอคชั่นชัดเจนมากกว่า แต่สำหรับคุณพายัพ จะออกแนวเรียบๆกว่า ค่อนข้างจะโลว์ โปรไฟว์ ด้วยซ้ำ ตำแหน่งต่างๆในสภาฯ ก็ไม่ค่อยเห็นว่าคุณพายัพ จะอยากเป็นอะไรเลย ทั้งที่มีกรรมาธิการฯหลายคณะด้วยกัน

การทำงานการเมือง ถือเป็นงานที่ค่อนข้างหนัก ต้องทุ่มเทมากในทุกๆด้าน แต่เนื่องจากเมื่อสุขภาพร่างกาย ไม่เอื้ออำนวย โดยที่ผ่านมาในช่วงเลือกตั้ง 2548 พายัพ เองอยู่ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอมาก อันเนื่องมาจากโรคไต จนต่อเนื่องเรื่อยมา ก่อนที่จะเพิ่งมาทำการเปลี่ยนไต เมื่อไม่นานมานี้ จึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้พายัพ ไม่สามารถทุ่มเทให้กับการเมืองอย่างเต็มที่ได้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่พายัพ ทุ่มเทให้น่าจะเป็น ใจมากกว่า...

ผณินทรา ภัคเกษม
ส.ส.เชียงใหม่ พรรคไทยรักไทย
บทบาททางการเมืองของ พายัพ อาจแตกต่างไปจากภาพของ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย โดยสิ้นเชิงแม้ทั้งสองจะเป็นพี่น้องกันก็ตาม ความชัดเจนและท่าทีของเยาวภา อาจจะดูโดดเด่น แต่สำหรับพายัพ มีลักษณะของความเป็นนักธุรกิจที่มีความสนใจในการเมือง เมื่อมีโอกาส และมีความพร้อมในด้านฐานะ ประกอบการมีฐานเสียงที่พายัพ สั่งสมมาจากกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ จึงสามารถเดินเข้ามาสู่เวทีการเมือง ไปในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

สำหรับกลุ่มส.ส.ภาคเหนือ นั้นจะมี ปกรณ์ บูรณะปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ คอยทำหน้าที่ประสานกับส.ส. และทำงานใกล้ชิดกับเยาวภา ก็ตาม ส่วนพายัพ นั้นจะคอยให้ความช่วยเหลือแก่ส.ส.ในเรื่องต่างๆ เรื่อยมา

บทบาททางการเมือง ของคุณพายัพ อาจจะยังไม่ถึงคุณแดง เยาวภา คงเป็นเพราะท่านมาจากนักธุรกิจ เลยอาจจะไม่ค่อยถนัดบู๋มากนัก


***********

เปิดหุ้นร้อนในมือพายัพ

วรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.โกลเบล็ก มองว่าหุ้นในกลุ่มพายัพตอนนี้เป็นหุ้นที่กลต.จับตาดูเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ BNT ที่พายัพถือหุ้นเป็นอันดับ 3 สัดส่วน 4.38% ดังนั้นทางบริษัทหลักทรัพย์จึงพยายามให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงกลุ่มเหล่านี้ แต่ดูเหมือนว่านักลงทุนจะไม่เชื่อ เลยกลับพากันเข้าไปเก็งกำไร เพราะที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ยังจับตาการบริหารงานของ BNT อยู่ทั้งเรื่องเก่าๆ อย่างการแลกหุ้น Channel V

ในขณะที่ ASL ที่พายัพถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 2.41% นั้น ทางโบรกเกอร์จากทางนครหลวงไทยแนะนำให้ขาย เพราะเหตุที่กำไรในไตรมาสแรกที่ผ่านมาลดลง นอกจากจะมองที่ตัวแม่แล้ว ตัวลูกของ ASL อย่าง ASL-W4 นั้น ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ราคาปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง จากระดับราคา 0.66 บาทเมื่อ 2 สิงหาคม เพียงแค่ 6 วันทำการ ราคาขยับขึ้นไปอยู่ที่ 2.88 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 336%
แต่อยากให้จับตามอง STRD เพราะหลังจากที่ขาย EWC และ EMC ออกจากพอร์ตแล้ว เขายังเข้าไปถือ STRD อยู่ 4.6% ซึ่งเป็นหุ้นที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูกิจการเหมือนกับหุ้นสองตัว แม้ผลกำไรที่ผ่านมายังอยู่ในช่วงขาดทุนอยู่ และยังไม่เปิดเทรด แต่เชื่อว่าถ้ามีการเปิดเทรดขึ้นมา STRD ก็ยังน่าจับตามอง ว่า พายัพจะมีวิธีปั้นหุ้นตัวนี้ให้น่าสนใจอย่างไร

ท้ายสุดสำหรับ KTECH ที่พายัพถือ 1.7% นั้น อยู่ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดก่อสร้าง ที่ดูมีทิศทางที่แน่นอน คาดว่าบริษัทนี้จะสามารถรับช่วงต่อในงานรับเหมาจากรายใหญ่เข้ามาอยู่ในมือได้ นอกจากนั้นยังได้งานรับเหมาก่อสร้างโรงแรมใหญ่ๆอีกหลายแห่ง เช่น รอยัลบีช พัทยา โรงแรมหัวหิน แกรด์ ลากูน่า

ต้องคอยดูต่อไปว่า หุ้นที่พายัพ ถืออยู่จะไปในทิศทางใด เพราะเขาเป็นคนออกปากเองว่า เขาเลือกและมีโอกาสที่จะเสียน้อยกว่าในตลาดหุ้น ต้องรอพิสูจน์ว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูดหรือไม่


*************

พายัพบอกเลี้ยงลูกต้องใช้ ใจ
นิกกี้ ยัน พ่อปั่นหุ้นไม่ make sense !

โลกภายนอกของพายัพ ชินวัตร แม้จะไม่สว่างไสวดั่งใจปรารถนา เพราะถูกคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ กลต. ฝ่ายค้านและสังคม จับตาความเคลื่อนไหวของเขาว่าเป็น นักปั่นหุ้น และยังถูกมรสุมจากโรคร้าย แต่อุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ใช่ว่าจะเกาะกินจิตใจเขาได้ เพราะจิตใจของเขาได้ทุ่มให้กับครอบครัวโดยเฉพาะลูกอันเป็นที่รัก...

เลี้ยงลูกต้องใช้ใจเป็นหลัก ลูกไปอยู่เมืองนอกไม่ค่อยได้เจอกัน ต้องใช้วิธีนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุผล เรื่องเวลาก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ต้องให้ใจ เมื่อให้ใจ เวลาลดลงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าให้เวลา เราจะถูกจำกัดชีวิต

พายัพ เล่าว่า ครอบครัวของเขามีความรักและความอบอุ่นให้กันเสมอ ทั้งภรรยา คือ พอหทัย ชินวัตร และลูกทั้ง 4 คือ ไนท์ หรือ ฤภพ อายุ 26 ปี นิกกี้ หรือพิรุณ อายุ 22 ปี ต๋อง หรือ พอพงษ์ อายุ 15 ปี และคนเล็ก พีรพัฒน์ อายุ 13 ปี

นอกจากให้ใจแล้ว พายัพ เล่าว่า หลักเลี้ยงลูกที่สำคัญอีกอย่างคือ เราต้องเป็นทุกอย่าง

เราต้องเป็นได้ทั้งพี่ เป็นเพื่อน เป็นพ่อ เป็นเจ้านาย เป็นลูกน้อง และเป็นคู่ต่อสู้ให้เขา คือบางครั้งก็ต้องให้ลูกกลัวต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่ บางครั้งก็เป็นเพื่อนเล่น บางครั้งก็ต้องเป็นคู่ต่อสู้ เช่นเวลาตีกอล์ฟ ก็เป็นคู่แข่งกัน แข่งกันแบบเอาจริงเอาจัง รวมแล้วสุดท้ายลูกเราต้องเป็นคนดี รู้จักช่วยตนเอง รู้จักเคารพ และต้องเติบโตแบบให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง

เวลาวันหยุดหรือมีเวลาว่าง พายัพมักจะพาครอบครัวไปพักผ่อนร่วมกัน โดยเฉพาะเวลาไปทำบุญที่วัดก็จะไปทั้งครอบครัว หรือไม่ก็ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน เวลาไปต่างประเทศก็ไปด้วยกัน

สำหรับกิจกรรมที่ทั้งบ้านชอบมากที่สุด ก็คือเวลาที่อยู่บ้านพร้อมหน้ากัน ลูกๆทุกคนก็จะมาอยู่ด้วยกันที่ห้องนอนของพ่อกับแม่ มานอนดูทีวีด้วยกัน

คุณพ่อให้เวลากับครอบครัวเยอะมาก ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ทุกคนจะมานอนในห้องคุณแม่คุณพ่อ ดูทีวีด้วยกัน ไม่ว่างานจะหนักแค่ไหนคุณพ่อจะมีช่วงเวลาให้กับครอบครัวเสมอ เช่นช่วงเวลาทานข้าวเย็น ทุกคนต้องพร้อมหน้ากันค่อยทานข้าวร่วมกัน ใครยังมาไม่ถึงบ้านก็จะรอให้กลับมาถึงบ้านค่อยทานข้าวด้วยกัน นิกกี้ หรือพิรุณ บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนที่ 2 ของ พายัพ เล่า

นิกกี้เล่าต่อถึงความเป็นห่วงของครอบครัวที่มีต่อคุณพ่อเป็นทวีคูณจากปกติ ตอนที่คุณพ่อป่วยหนักเป็นโรคตับอักเสบและใช้การไม่ได้ ต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อนำตับของคนอื่นมาเปลี่ยนในช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า ทุกคนเป็นห่วงมาก พี่ชายที่กำลังเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษก็รีบนั่งเครื่องบินกลับมาเมืองไทย

ตอนนั้นมี 2 ช่วง ช่วงแรกคือร่างกายจะสามารถควบคุมโรคได้เอง ไม่ต้องผ่าตัดได้ไหม ถ้ารักษาไม่ไหวแล้วก็ต้องผ่าตัด แล้วพอจะต้องผ่าตัดก็ต้องมาลุ้นกันว่าตับมีไหม มันก็ซอฟท์ แล้วก็ต้องเป็นห่วงเรื่องหมอผ่าตัดอีก

ความกังวลครั้งนี้ทำให้ครอบครัวของคุณพายัพ หาหมอที่เก่งที่สุด และมีประสบการณ์มากที่สุดมาเป็นผู้ผ่าตัด

หมอที่มาผ่าตัดให้คุณพ่อ เป็นหมอที่มีประสบการณ์มาก ทำการผ่าตัดมามากที่สุดในเมืองไทย เชื่อว่าคงไม่มีหมอคนไหนดีเท่านี้ ทำให้นิกกี้ และครอบครัวมีความมั่นใจและเชื่อว่าคุณพ่อต้องหายดีในที่สุด
จากวันนั้นมา นิกกี้บอกว่า พวกเราทุกคนต้องให้การดูแลคุณพ่ออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องยาที่คุณพ่อต้องทานตรงเวลา

ล่าสุดไปดูหนังด้วยกันทั้งครอบครัว หนังเริ่มเวลา 17.30 น. จะเลิกเวลา 19.30 น. แต่คุณพ่อต้องทานยาเวลา 19.00 น. ก็ตั้งนาฬิกาเตือน พอเวลา 19.00 น. ก็เอายาให้คุณพ่อทาน ทานในโรงหนังเลย เพราะผิดเวลาไม่ได้

ส่วนข่าวคราวที่โด่งดังในเรื่องการปั้นหุ้นของพายัพนั้น นิกกี้ ให้ความเห็นแบบตั้งคำถามกลับไปว่า พ่อกี้ปั่นหุ้นเหรอฮะ กี้ไม่เห็นรู้เรื่องเลย กี้ไม่คิดว่าพ่อปั่นหุ้นหรอก เพราะตลาดหุ้นเป็นตลาดการลงทุน คุณจะลงทุนอะไรก็ได้ แน่นอนว่าทุกคนที่มาลงทุนก็ต้องหวังผลตอบแทน ปั่นหุ้นหรือไม่ปั่นหุ้นจึงไม่ใช่วัตถุประสงค์ ผมไม่รู้ว่าปั่นหุ้นเป็นยังไง แต่ทุกคนต้องการ return บอกว่าคุณพ่อปั่นหุ้น มันไม่ make sense

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 03/09/2005 @ 18:10:47 : re: เจ๊งหุ้น 392 ล้านแต่วันนี้รวยขึ้น 10เ ท่า พายัพ ชินวัตร
สงสัยมากจริงๆ ช่วงที่ขาดทุนหุ้นยับเยิน ขนาดไปยืมพี่ทั่นนายกฯ ยังไม่ให้หยิบยืม แล้วไปเอาเงินที่ไหนไประดมซื้อบ.เน่าๆ มาแต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วก็มาหลอกขายให้รายย่อย อ่านบทความทั้งหมดจากข้างบน มันก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นคนปั่นหุ้นชัดๆ ก็ดูชื่อ บ. ที่มันไปซื้อสิ มีแต่เน่าสนิท สมกับที่เพื่อนมันอุปมาอุปไมเลย ไปซื้อรถเก่าๆราคาถูกๆ แล้วก็เอามาปะๆแปะๆ พ่นสี ทาสี แล้วก็เอาไปขายในราคาหลายพันบาท ให้คนซื้อเอาไปเข้าอู่ซ่อมเป็นระยะๆ จนกว่าจะหมดเงินซ่อม เหมือนกับหุ้นเน่าที่ไปซื้อมา แล้วก็เอามาอุปโหลกให้ดูดี เพื่อให้เข้าเทรดได้ พอได้ราคาดี ก็ทิ้งหุ้น แบบนี้ไม่เรียกว่าปั่นแล้วเขาเรียกหลอกได้รึเปล่าทั่น ผมไม่รู้นะเนี่ยว่ามันถือหุ้น asl ไม่งั้นจะซื้อไว้เมื่อสี่ห้าวันก่อน เพราะราคามันขึ้นสวนกับผลประกอบการยั่งกะหนังคนละเรื่องเลย โดยเฉพาะ asl-w4 แต่แปลกมากการขึ้นของราคาหุ้นแบบนี้ไม่เตะตา กลต. (กินลงตัว) เลย เนี่ยผมได้ข่าวมาว่า วันจันทร์มันจะปั่น bnt ด้วย ช่วยดูกันหน่อยนะ ว่ามันจะเป็นจริงรึเปล่า คราวหน้าไม่เลือกตระกูลมัน,ก๊วนมัน .0001 ให้เข้าไปดูดเดือดประชาชนแล้ว เสียความรู้สึกจริงๆ
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#2 วันที่: 04/09/2005 @ 00:53:45 : re: เจ๊งหุ้น 392 ล้านแต่วันนี้รวยขึ้น 10เ ท่า พายัพ ชินวัตร
กลต มี ปัญญา กล้าทำ แอคคินสัน หรอ เดี๋ยวกลตก็ซวยหรอก ลำเอียงแบบโง่ๆ ใครไม่รู้บ้าง โตๆ กันแล้ว ไอ้พวก apure ewc picni นี่ เอากันจัง ตัว w ที่ลากซะ 2 บาท 3 บาท ในเวลาอาทิดเดียวนี่ มันไม่แปลกเลยเนอะ คุณ กลต สุดแสนจะโง่กวา...
 กลับขึ้นบน
เล็ก
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 7
#3 วันที่: 04/09/2005 @ 14:14:36 : re: เจ๊งหุ้น 392 ล้านแต่วันนี้รวยขึ้น 10เ ท่า พายัพ ชินวัตร
เหม็นขี้ปาก ใครจะไปเชื่อ .0003
 กลับขึ้นบน
PaZZaHut
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 10
#4 วันที่: 04/09/2005 @ 20:22:00 : re: เจ๊งหุ้น 392 ล้านแต่วันนี้รวยขึ้น 10เ ท่า พายัพ ชินวัตร
.0005
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com