Q.........มีเงินเก็บอยู่ประมาณ 500,000 บาท อยากลงทุนในตลาดหุ้นและทองคำค่ะ ยังไม่เคยลงทุนอะไรมาก่อน แต่ขืนฝากแบงก์ไว้เฉยๆ ก็จะได้ ดอกเบี้ยนิดเดียว อยากได้คำแนะนำค่ะ เป็นพนักงานบริษัทยาแห่งหนึ่ง ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนอะไรมาก่อนเลย เลยขาดประสบการณ์ค่ะ ขอบคุณค่ะ

A......คุณนิรมลเป็นพนักงานบริษัทยาแห่งหนึ่ง ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนอะไรเลย แต่อยากลงทุนในตลาดหุ้นและทองคำ ก่อนที่จะเริ่มเข้าลงทุนในอะไรก็ตาม คุณนิรมลต้องถามตัวเองก่อนว่า เรามีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้มากขนาดไหน น้อย ปานกลาง หรือมาก เพราะความเสี่ยงเป็นของคู่กันกับการลงทุนทุกประเภท ไม่มีการลงทุนไหนไม่มีความเสี่ยง การลงทุนที่มีความเสี่ยงมาก มีโอกาสจะได้ผลตอบแทนสูง เช่น การลงทุนในตลาดหุ้น อาจได้รับผลกำไรมากหรือขาดทุนได้มากเช่นกัน การลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย ย่อมให้ผลตอบแทนต่ำ เช่น การฝากแบงก์ไว้เฉยๆ ต้นทุนไม่หนีไปไหน

แต่ต้องยอมรับอัตราดอกเบี้ยนิดเดียว ถ้าคุณนิรมลตอบตัวเองว่าสามารถรับความเสี่ยงได้น้อย ไม่ชอบความผันผวนของราคาหุ้นในตลาด ราคาที่ขึ้นลงแต่ละทีทำให้คุณหัวใจเต้นแรง ความดันพุ่งปรี๊ดละก็ คุณอาจจะต้องยอมรับอัตราดอกเบี้ยน้อยนิดจากการฝากเงินในแบงก์ต่อไป แต่ถ้าเงินห้าแสนบาทตรงนี้ คุณยอมรับความเสี่ยงได้ กำไรก็ดี ขาดทุนก็ต้องยอม ละก็ อยากเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นหรือทองคำจริงๆ

ดิฉันมีวิธีการที่เชื่อว่าน่าจะลดความเสี่ยงในด้านการเข้าลงทุนได้ในระดับหนึ่ง เป็นวิธีการที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dollar Cost Average (DCA) เป็นการเฉลี่ยต้นทุนชนิดหนึ่ง เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยป้องกันเราจากความผันผวนในตลาดหุ้นถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะปานกลางถึงยาว

แน่นอนในทุกการลงทุนเราอยากซื้อหุ้นได้ในราคาถูกสุด ขายได้ในราคาแพงสุด ได้กำไรมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงใครจะไปรู้ได้ว่าหุ้นที่ราคาถูกสุดอยู่ที่ตรงไหน ไม่ว่าใครที่อ้างตัวว่าเป็นเซียนหุ้น ศึกษาราคาทั้งพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคมาอย่างโชกโชนก็ยังไม่สามารถบอกได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

วิธีการของ DCA คือ การเข้าลงทุนโดยกำหนดจำนวนเงินที่แน่นอนในการเข้าซื้อหุ้นในแต่ละเดือน ถ้าคุณซื้อหุ้นในราคาสูง จะได้จำนวนหุ้นน้อย จากเงินจำนวนเดียวกัน ถ้าราคาหุ้นลดต่ำลง คุณซื้อหุ้นในราคาถูก และได้จำนวนหุ้นมากขึ้น เมื่อระยะเวลาหนึ่งผ่านไป ในพอร์ตการลงทุนของคุณจะมีหุ้นหลายราคา ทั้งถูก และแพงเฉลี่ยกันไป เป็นการลดความเสี่ยงที่คุณจะนำเงินทั้งก้อนไปลงทุนครั้งเดียวที่ราคาเดียว เพราะคุณหรือใครก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าราคานั้นสูงเกินไปหรือไม่ ณ เวลานั้นๆ

ยกตัวอย่างนะคะ คุณนิรมลมีเงินเก็บอยู่ห้าแสนบาทอยากนำไปลงทุน แทนที่จะนำเงินทั้งหมดไปลงทุนครั้งเดียวหมด คุณอยากลงทุนด้วยวิธีการ DCA คือ แบ่งเงินจำนวนนี้เป็นสมมติว่า 10 งวด/เดือน และเข้าซื้อหุ้นทุกวันที่ 1 ของทุกเดือน ทำให้คุณสามารถเฉลี่ยต้นทุนการลงทุนออกเป็น 10 เดือน

ดังนั้น จะมีบางเดือนที่คุณซื้อหุ้นได้ในราคาแพง แต่ได้จำนวนหุ้นน้อย แต่เดือนต่อมา ตลาดหุ้นลดต่ำลง ผลเสียก็คือ คุณขาดทุนหุ้นที่ซื้อไปเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ผลดีก็คือ คุณยังมีเงินที่จะเข้าซื้อหุ้นได้อีกต่อไปในเดือนนี้ แถมคุณซื้อหุ้นได้ในราคาถูกลง และได้จำนวนหุ้นมากกว่า ในบางเดือนที่ตลาดหุ้นสูงขึ้น ผลดีคือ คุณเริ่มยิ้มได้เพราะมีกำไรจากการลงทุน

แต่ผลเสียคือ เมื่อราคาหุ้นสูง คุณจะซื้อหุ้นได้จำนวนน้อยลง ซึ่งจริงๆ เป็นการลดความเสี่ยงที่คุณจะเข้าซื้อหุ้นที่ราคาสูงเกินไป หรือการเข้าซื้อตอนตลาดบูมมากๆ เมื่อคุณเข้าลงทุนโดยการเฉลี่ยต้นทุนได้ครบ 10 เดือน คุณจะได้พอร์ต การลงทุนที่สามารถลดความเสี่ยงการลงทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

วิธีการ DCA เหมาะกับการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ในระยะยาวได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องสนใจว่าราคาหุ้นในวันที่คุณเข้าลงทุน จะแพงไปหรือถูกไป เพราะคุณซึ่งไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้นมาก่อนหรือเซียนหุ้นหน้าไหนก็ไม่มีทางรู้ วิธีการ DCA ไม่เหมาะกับหุ้นตัวเล็กๆ ที่เจ้าของหรือขาใหญ่ชอบเข้ามาปั่นหุ้น ให้รายย่อยน้ำลายไหล เข้าไปติดหุ้นที่ราคาสูงๆ

คุณนิรมลอาจแบ่งการลงทุนเป็นหุ้นกับทองคำหรือกองทุนอย่างไรก็ได้ตามต้องการ นำวิธี DCA ไปปรับใช้ได้กับทุกการลงทุนค่ะ ขอให้โชคดีในการลงทุนนะคะ

bangkokbiznews