นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการ บมจ. ที.เค.เอส. เทคโนโลยี (TKS) คาดว่า บริษัทจะสามารถขายหุ้นเพิ่มทุน 42 ล้านหุ้นในช่วงเดือนต.ค.นี้ โดยในขณะนี้มีกองทุนต่างประเทศ 2-3 ราย ทั้งจากสหรัฐและในเอเชียสนใจเจรจาขอซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP) แต่บริษัทคงจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 1 รายเท่านั้น  
          ส่วนราคาขายหุ้นนั้น คาดว่าราคาคงจะกำหนดไม่ต่ำกว่า 3 บาท/หุ้น เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่บริษัทจะระดมเงินจากการเพิ่มทุนประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทเพิ่มเป็น 360 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนนำเงินมาใช้ซื้อเครื่องจักรและขยายโรงงาน รองรับงานดิจิตอลที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น รวมทั้งสามารถรับบริหารคลังจัดส่งสินค้า ซึ่งจะเป็นรายได้เสริมเข้ามาในอนาคตด้วย
          ทั้งนี้ จากการขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวคงจะทำให้ราคา dilute ลงเล็กน้อย แต่มองว่าการมีกองทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นจะเป็นการขยายช่องทางงานในต่างประเทศให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่บริษัทมีสัดส่วนงานพิมพ์ในต่างประเทศที่ 5%
          นายสุพันธ์ กล่าวว่า สำหรับรายได้ในครึ่งปีหลังคาดว่าธุรกิจสิ่งพิมพ์และไอทีจะเติบโตได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นและกำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่ เชื่อว่าจะทำให้มีงานสั่งพิมพ์เข้ามามากขึ้น โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังรายได้ธุรกิจสิ่งพิมพ์จะเติบโต 8-9% ขณะที่ธุรกิจไอทีจะเติบโตประมาณ 5-6% พร้อมทั้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น(gross profit margin)จะเติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
          จากปัจจัยดังกล่าวทำให้คาดว่าในปีนี้รายได้รวมโตไม่ต่ำกว่า 5-8%  ขณะที่กำไรใกล้เคียงปีก่อนที่ 100 ล้านบาท
          นอกจากนี้ บริษัทอาจจะมีการปรับราคางานพิมพ์ดิจิตอลในช่วงปลายปี เนื่องจากมีงานมากขึ้น เช่น การเลือกตั้ง และ งานเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา
          นายสุพันธ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทฯได้รับงานพิมพ์ซองใส่ธนบัตรของที่ระลึก 80 พรรษา เข้ามาแล้วมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อมีงานเข้ามาต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปลายปีซึ่งจะมีงานพิมพ์ที่ใช้ในเทศกาลปีใหม่เข้ามาค่อนข้างหนาแน่น ก็เชื่อว่าจะช่วยให้ธุรกิจการพิมพ์ของบริษัทฯ กลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้ง
          ส่วนการนำบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ  ยังคงแผนเดิมที่จะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในไตรมาส 4/50 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ในไตรมาส 1 และ 2 ปีหน้า ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจไอทีที่มองว่าปีหน้าจะขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้

ที่มา IQ Biz