บล.กิมเอ็ง จากนโยบายมุ่งเน้นสินเชื่อรายย่อยด้วยการสนับสนุนของ GE ส่งผลให้ BAY มีโอกาสเติบโตที่สูงทั้งในด้านการขยายตัวของสินเชื่อ และแนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ดีขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อที่มีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า โดย BAY มีนโยบายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยจาก 19% เป็น 50% ในปี 2553 บล.เคจีไอ มีแผนลด NPL อย่างจริงจังภายในสิ้นปี BAY วางแผนตัด NPL ขั้นต้นรวมลดลงเหลือ 63 พันล้านบาทภายในสิ้นปีจาก 74.6 พันล้านบาท ณ สิ้น มิ.ย. 50 ซึ่งหมายถึงค่าNPL เพียง 13% ลดลงจาก 15.8% ดังนั้นเราจึงคาดว่าจะมีการตัดขาย NPL ภายในสิ้นปีนี้ โดยผู้ซื้ออาจเป็นธนาคารต่างชาติ บล.โกลเบล็ก BAYกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินงานควบรวมกิจการกับ GECALซึ่งน่าจะสำเร็จในต้นปี51 ภายหลังการควบรวม(โดยการซื้อGECAL)แล้วBAYจะมีขนาดสินทรัพย์เพิ่มขึ้นราว 9หมื่นลบ.หรือเพิ่มขึ้นราว 20%จากระดับเดิม, ระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลงมาอยู่ที่ 16.2%จากระดับปัจจุบันที่ 19.7% แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงและเพียงพอที่จะขยายธุรกิจต่อไปอีกมาก และอัตราส่วนทางการเงินหลายตัวพัฒนาขึ้นอาทิ ROEซึ่งเราคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาที่ 10%ในปี51จาก -7.2%ในปีนี้ และ NIM(เราคาดจะเพิ่มขึ้น 0.80%) บล. ยูไนเต็ด เราคาดว่าผลประกอบการ 3Q50 ของ BAY จะออกมาดี แม้สินเชื่อไม่โต แต่มีเงินปันผลวายุภักษ์เข้ามา คาดว่า NIM จะยังทรงๆ เมื่อเทียบกับ 2Q50 ที่ 2.97% ขณะที่Cost to Income น่าจะเริ่มลดลงจากที่อยู่สูงถึง 70% ใน 1H50 และคาดว่าในไตรมาสนี้จะไม่มีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองจากที่ได้ตั้งไปหมดแล้วตั้งแต่ 1H50 ประกอบกับไม่มีภาระภาษีเนื่องจากมีขาดทุนใน 1H50 สูงถึง 7.8 พันล้านบาท ทำให้คาดว่า BAY จะมีกำไรสุทธิ2,096 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 12% YoY และ 123% QoQ บริษัทหลักทรัพย์ ซื้อ ขาย ถือ ราคา/บาทบล.กิมเอ็ง / - - 32.30บล.เคจีไอ / - - 32.70บล.โกลเบล็ก / - - 35.00บล.ยูไนเต็ด / - - 33.00 |
|
ข่าวหุ้น | เข้าชม: 1,193 |
|