โดยทีม Fundamentals : fund@nationgroup.com
พิษสงของ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" รุนแรงและสาหัสแค่ไหน หลายคนคงยังพอจำรสชาติของมันได้ แม้จะผ่านไปร่วมทศวรรษแล้วก็ตามที
กลิ่นต้มยำกุ้งจางไปพักใหญ่ ตอนนี้กลิ่นฉุยของอาหารฝรั่งบางประเภทกำลังโชยเข้าแทนที่
Hamburger Crisis!!!!!! กลิ่นของมันน่ากลัวพอๆ กับต้มยำกุ้งเลยทีเดียว
แล้วพายุชื่อ "ซับไพร์ม" ที่ตั้งเค้าว่าจะมาถล่มแน่ ก็มาจริงๆ มาไวและหนักหน่วงจนน่ากลัว มันจู่โจมตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระเนระนาดราบเป็นหน้ากลอง
Fundamentals ฉบับนี้ มีข้อแนะนำว่าท่ามสถานการณ์ที่ย่ำแย่แบบนี้ คุณควรจะตั้งรับ หรือรับมือกับ Hamburger Crisis อย่างไรดี
***************
ถือว่าเป็นคำที่ฮอตฮิตติดปากคำล่าสุดของประเทศไทยเลยทีเดียว สำหรับคำว่า Hamburger Crisis!!!!!!
นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคำนี้ เพราะอาการเจ็บป่วยของเศรษฐกิจโลก ย่ำแย่และงอมกว่าที่หลายคนคาดไว้เยอะ อย่างที่ Fundamentals เคยบอกว่า ทุกวันนี้โลกเราแคบและเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อเกิดอะไรขึ้นที่ฟากหนึ่งของโลก ก็สามารถรับรู้ได้ทันทีในอีกสถานที่หนึ่งของโลก เช่นเดียวกับระบบเศรษฐกิจโลก หากสหรัฐเปรียบเป็นพี่ใหญ่ของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันเกิดจามขึ้นมา ประเทศอื่นก็คงติดหวัดกันไปหมด
ซึ่งในปี 2551 นี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัญหาซับไพร์มทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคงไม่มีใครสงสัยในเรื่องนี้กันแล้ว แม้หลายฝ่ายจะเชื่อว่าจะเป็นเพียงการชะลอตัวลงในลักษณะของ "Soft Landing" แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างกระชากวิญญาณนักลงทุนแบบนี้ ฟ้องว่าอาจจะหนักหนาสากรรจ์กว่าที่คิดไว้เยอะ
หากที่ผ่านมาคุณลงทุนด้วยความไม่ประมาท หรือจัดสรรสินทรัพย์(Asset Allocation) แบบไม่ประมาท ก็น่าจะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้เยอะ ที่บอกว่าไม่ประมาทคือ นำเงินสำหรับการลงทุนมาลงทุนจริงๆ ไม่ใช่นำเงินส่วนที่จำเป็นต้องกันไว้เพื่อใช้จ่ายมาลงทุน หรือกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน
หรือถ้าหากคุณลงทุนอย่างเข้าใจในธรรมชาติของการลงทุน ว่าการลงทุนมีความเสี่ยง หุ้นมีขึ้นมีลง ประมาณว่าใช้ธรรมะเข้าช่วย คุณก็จะสบายใจขึ้น
บางคนบอกว่า ฉันก็กระจายการลงทุนแล้ว ทำไมยังเสี่ยงและยังขาดทุนอยู่ ก็อย่างที่รู้กันว่า เพราะความเสี่ยงในการลงทุนมีทั้งความเสี่ยงที่เราสามารถขจัดให้หมดไปได้ด้วยการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม ถ้ายังขาดทุนอยู่ก็แปรว่าคุณยังกระจายการลงทุนอย่างไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ ก็ยังมีความเสี่ยงที่เราไม่สามารถขจัดให้หมดไปได้ เพราะเกิดขึ้นเหนือการควบคุมของตัวเรา ซึ่งกรณีของปัญหาซับไพร์มก็น่าจะอยู่ในข่ายนี้
ดังนั้น แม้ว่าเราจะพยายามหาข้อมูลในการลงทุนอย่างดีเพียงไร พยายามกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมเพียงใดการขาดทุนจากการลงทุนก็ยังเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะธรรมชาติของการลงทุนย่อมมีทั้งกำไร และขาดทุน
เหนืออื่นใด สถานการณ์แบบนี้ถ้ามีสติเป็นที่ตั้ง มรสุมลูกนี้จะใหญ่และรุนแรงแค่ไหน แต่ถ้าหากคุณมีสติในทุกขั้น ทุกตอนของการลงทุนและในทุกสถานการณ์ จะช่วยให้ลงทุนได้อย่างมีความสุข มีความเข้าใจการลงทุน ไม่ต้องทุกข์ ทรมานใจเมื่อหุ้นตก ไม่หลงระเริงไปกับหุ้นที่กำลังขึ้น
สติเป็นเครื่องกำกับความประพฤติ การกระทำ เราจะระมัดระวัง ไม่หลุด ไม่หลงไปกับคำเชื้อเชิญ อวดอ้างที่เกินจริง ไม่ถูกหลอก ถูกลากไปตามกระแสหุ้นปั่น แต่เราก็จะไม่พลาดโอกาสดีๆ ที่มีอยู่ตรงหน้า สติจะทำให้เราไม่กระโจนอย่างพรวดพราดเข้าไปเมื่อเห็นหุ้นตกกระหน่ำอย่างรุนแรง
ลองมาฟังบรรดาผู้ที่อยู่ในแวดวงกองทุนรวมกันดูบ้าง ว่าในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติการเงินระลอกใหม่ที่ชื่อ Hamburger Crisis พวกเขาจะแนะนำนักลงทุนอย่างไร
@แนะทยอยเก็บหุ้นแบบไม่ผลีผลาม
"วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ" รองประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย ให้ความเห็นว่า สำหรับคนที่ตั้งใจจะลงทุนในระยะยาว ประมาณ 1 ปีขึ้นไป ตอนนี้จะทยอยซื้อหุ้นเพิ่มก็ได้ เพราะราคาถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว แต่ต้องอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่า ราคาหุ้นอาจจะปรับลงไปกว่านี้อีกได้ เพราะฉะนั้น จะต้องเป็นการลงทุนที่ไม่ผลีผลาม
คนที่ลงทุนในหุ้นด้วยตัวเองไปแล้ว และกำลังเผชิญหน้ากับภาวะย่ำแย่ วิวรรณแนะว่าอาจจะขายคัทลอส ออกมา 20% ก่อน เผื่อว่าหุ้นลงอีก จะได้เอาเงินที่ขายกลับเข้าไปซื้อเพิ่ม หรือกรณีที่หุ้นขึ้น จะได้รู้สึกว่าโชคดีที่ยังเหลืออีก 80%
ส่วนคนที่ลงทุนผ่านกองทุนรวม ก็มีฟันด์ แมเนเจอร์ คอยดูแลพอร์ตให้คุณแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ลงทุนในกองทุนรวมก็มักจะลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว แต่ยังอยากขายก็อยากแนะให้รอไปก่อน แล้วค่อยขายตอนที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
"อย่างหนึ่งที่อยากบอกนักลงทุนทุกคนคือ หุ้นมีตกก็มีขึ้น ไม่มีทางที่จะตกอย่างเดียวตลอดไป เพราะฉะนั้น อยากให้ทุกคนเชื่อแบบนี้แล้วอดทนที่จะรอ จะได้สบายใจ" วิวรรณให้คำแนะนำ
@เตือนนักลงทุนใช้สติ สุขุม รอบคอบ
"ดารบุษป์ ปภาพจน์"ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.พรีมาเวสท์ แนะว่าสำหรับคนที่ลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว แล้วทนกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้ อาจจะขายออกมาบางส่วน แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนรู้คือ ไม่เชื่อว่าหุ้นจะตกตลอด หุ้นมีตกและมีขึ้น เพียงแต่จะช้าหรือเร็วตรงนั้นไม่มีใครรู้ ว่าปัญหาซับไพร์มจะบานปลายและยืดเยื้อไปแค่ไหน
"ทุกอย่างอาจจะต้องอาศัยเวลา ตอนนี้อยากให้นักลงทุนทุกคนใช้สติ สุขุม รอบคอบ ความจริงเราก็ผ่านวิกฤตการณ์มาแล้ว หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์วินาศกรรมในสหรัฐที่ทำให้ราคาหุ้นตกอย่างรุนแรง แต่ทุกอย่างก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ราคาหุ้นก็กลับมาได้ ตอนนี้นอกจากทำใจ ก็สำรวจใจตัวเองไปพลางๆ ก่อน ว่าเรารับได้มั้ย รับได้แค่ไหน"
ส่วนใครที่มีเงินสดที่พร้อมจะเข้าลงทุน ซื้อของถูก แนะว่า ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่ากระโจนเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอันขาด เพราะอาจจะเจ็บตัวได้ เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าปัญหาซับไพร์มจะลุกลามไปแค่ไหน
"ไม่ใช่ว่าฉันมีเงินสดอยู่ 10 ล้าน พอเห็นหุ้นถูกก็พุ่งเข้าใส่เลย อย่าเด็ดขาด ดูอย่างวอร์เรน บัพเฟตต์ยังกระจายการลงทุนเลย นั่นแหละ ทำให้เขาประสบความสำเร็จในการลงทุน"
ส่วนใครที่มีเงิน แล้วอยากจะลงทุน ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรน่าลงทุน เช่น ตลาดคอมโมดิตี้ก็กำลังไปได้สวย ราคากำลังขึ้น แต่อยากแนะว่า ควรจะเป็นคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุนพอสมควร ไม่อย่างนั้นอาจจะขาดทุนได้
@อย่าตระหนก-ในวิกฤติมีโอกาส
"กำพล อัศวกุลชัย" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะนำว่า ผู้ลงทุนควรจะตั้งสติให้ดี ปัญหาซับไพร์มและปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา อาจจะทำให้ผู้คนทั่วโลกตื่นตระหนกส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น หากหุ้นที่เราเลือกลงทุนเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีไม่ต้องกลัว
ในจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาเนื่องจากวิกฤติของสหรัฐในครั้งนี้ ในอีกมุมหนึ่งก็มีโอกาสแฝงอยู่ด้วย เป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ลงทุนในหุ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง อย่างไรก็ตามในทางตรงข้ามการลงทุนนั้น ควรจะใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น และอย่าตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะซับไพร์มเป็นโอกาสได้เช่นกัน
ผู้ที่ต้องลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว เช่น ผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ถือเป็นโอกาสในการทยอยเข้าลงทุน ในเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงมาในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง หากตั้งสติให้ดีจะพบว่านี่เป็นโอกาสในการเข้าลงทุน ไม่จำเป็นต้องรอ โดยทยอยเข้าลงทุน ส่วนใครที่ลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมสามารถสบายใจได้ เพราะมีผู้จัดการกองทุนคอยติดตามดูแลการลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนอยู่แล้ว
"การปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลก เป็นผลกระทบจากปัจจัยทางจิตวิทยาเป็นสำคัญ ซึ่งถือเป็นโอกาสเลือกลงทุนในหุ้นได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง สำหรับนักลงทุนระยะสั้นอาจจะตื่นตระหนก แต่ขอให้มั่นใจ ในปีนี้จะมีความผันผวนของตลาดเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีศักยภาพในการเติบโต ส่วนใครที่มีหุ้นอยู่แล้วขอให้อดทน เพราะนี่ไม่ใช่จังหวะขายปรับพอร์ต ซึ่งจะทำให้เกิดผลขาดทุนได้"
กำพล ยังบอกอีกว่า ซับไพร์มมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยน้อยมาก แบงก์ของไทยที่ลงทุนในซับไพร์มก็มีน้อยมาก ดังนั้น ผู้ลงทุนไม่ควรตื่นตระหนก เพราะปีนี้ปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีกว่าในปีที่ผ่านมา มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งเข้ามาทำงาน ในมุมมองของเขายังเชื่อว่าสามารถที่จะลงทุนได้ แต่ต้องใช้ระมัดระวังมากขึ้น โดยเชื่อว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ 0.75% น่าจะส่งผลให้สถานการณ์โดยรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นได้ เพราะจะมีการย้ายการลงทุนจากตราสารหนี้ เพื่อรับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเข้ามาสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น สำหรับประเทศไทยเองในช่วง 2 อาทิตย์สุดท้ายของปี 2550 ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก นักลงทุนบางส่วนอาจจะมีการขายปรับพอร์ตทำกำไรออกมาบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
"ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลงมา จึงถือเป็นโอกาสในการลงทุน การปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลกผู้ที่ลงผ่านกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ(FIF) อาจได้รับผลกระทบในระยะสั้นเหมือนกัน แต่การลงทุนอยากให้มองระยะยาว ไม่อยากให้มองระยะสั้นเกินไป มีสติการปรับตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก เหมือนการปรับฐานลงมาในช่วงสั้นเท่านั้น หากเราตั้งสติรอให้ภาพทุกอย่างชัดเจนขึ้น จะพบว่าภูมิภาคเอเชียเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากซับไพร์มน้อยที่สุด แล้วยังเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจลงทุนที่สุดในโลก มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปได้อีกอย่างน้อย 5 ปีข้างหน้า แล้วปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐและซับไพร์มเองทางรัฐบาลของสหรัฐเขาจะต้องเร่งแก้ไขอยู่แล้ว โดยเฉพาะใกล้เลือกตั้งของสหรัฐเขาจะต้องเข้ามาแก้ไข ส่วนตัวได้ถือจังหวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงมาในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นขึ้นเป็น 30% โดยแบ่งเป็น 10% ในประเทศ 10% ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย และ 10% ในตลาดโลก"
@จัดพอร์ตในสถานการณ์เสี่ยงสูง
"ดร.สมจินต์ ศรไพศาล" กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ มองว่า นักลงทุนคงต้องกลับมาที่หลักของการมีสติ เมื่อการลงทุนมีความผันผวนมาก ควรจะมองให้กว้างและมองให้ไกลขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ความไม่แน่นอนที่มีอยู่ในปัจจุบันเราต้องมองเหตุปัจจัยต่างๆ โดยรอบคอบ ช่วงไหนที่ความไม่แน่นอนมีสูง การมีกลุ่มการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย มีความปลอดภัยเช่น ตราสารตลาดเงินหรือพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นมากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดี ในส่วนของหุ้นควรจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความสามารถในการทำกำไร เป็น Defensive Stock จะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุน
ส่วนของผู้ที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) ซึ่งมีหลายนโยบายให้เลือก จะทำให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้กว้างขวางมากกว่า สามารถที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายจากความเสี่ยงสูง มาสู่การลงทุนที่เสี่ยงน้อยกว่าได้ แต่กองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว นักลงทุนที่ไม่แน่ใจอาจจะโยกย้ายพอร์ตมาลงทุนในกองทุนแอลทีเอฟที่มีการใช้อนุพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากการที่หุ้นตกได้ แม้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอาจจะน้อยกว่า แต่ความเสี่ยงก็น้อยกว่าด้วยเช่นกัน
"ถ้าแบ่งการลงทุนเป็น 2 ส่วน คือ หุ้นและตราสารหนี้ ผู้ลงทุนแต่ละคนมีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน หากแบ่งการลงทุนในหุ้นกับตราสารหนี้เพียง 2 ส่วน บางคนอาจจะจัด 50-50 บางคน 70-30 บางคน 30-70 แตกต่างกันออกไป ซึ่งเป็นการจัดพอร์ตการลงทุนในระยะยาว โดยผู้ลงทุนได้มีการกันสำรองเพื่อยามฉุกเฉินเอาไว้แล้ว 6 เดือนในกองทุนตราสารตลาดเงิน ในภาวะเช่นนี้ที่ความไม่แน่นอนสูง ผู้ลงทุนอาจจะเพิ่มสัดส่วนของเงินสำรองฉุกเฉินเพิ่มขึ้นเป็น 8 เดือนถึง 1 ปี ก็ได้"
ดร.สมจินต์ แนะนำว่า ในยามที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงจะมาจาก 2 ปัจจัย คือ1)ความสามารถในการทำกำไร และ2)การไหลของเงินลงทุน ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันเป็นการไหลออกของเงินลงทุนทั่วโลก ซึ่งเป็นกระแสหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง ในส่วนของความสามารถในการทำกำไรคงต้องใช้เวลาในการติดตามดูอีกสักระยะ จึงจะมีความชัดเจนขึ้น ปัจจุบันเราคงไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าหุ้นจะหยุดลงเมื่อไหร่ เพราะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ 0.75% สะท้อนว่าขนาดของปัญหาไม่เล็ก แต่อีกด้านก็ชี้ให้เห็นความตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา ดังนั้นนักลงทุนควรจะมีสติติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด การลงทุนในหุ้นสำหรับคนที่มีเงินร้อนไม่ควรจะเข้ามาลงทุนเพิ่มในหุ้นแต่ควรที่จะนำเงินไปพักไว้ในที่ๆ มีความเสี่ยงต่ำและมีความปลอดภัยสูง
"แต่ผู้ที่มีเงินเย็นในระยะยาว ควรจะมองการลงทุนให้กว้างและไกลขึ้นด้วยอัตราเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันเฉลี่ย 3.5% โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นผันผวนหุ้นจะขึ้นได้เร็วและลงได้แรง เราสามารถจะถือหุ้นในระยะยาวแล้วไม่ถูกกระทบตอนหุ้นลงได้หรือไม่ ด้วยเงินปันผลเฉลี่ย 3.5% น่าจะทำให้ผู้ที่มีเงินเย็นอาจจะมองหาหุ้นพื้นฐานดี จ่ายปันผลดีทยอยเข้าลงทุน เพราะถือลงทุนในระยะยาวก็สบายใจได้ ส่วนนี้ก็อาจจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้นเพิ่มมากขึ้นได้ เพราะเป็นการเข้าไปลงทุนในหุ้นในระดับราคาที่เหมาะสม แต่ควรมองภาพที่กว้างขึ้นและไกลขึ้นโดยมองเปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ ด้วย"
อาจจะเป็นทั้งข้อแนะนำและคำปลอบใจ จากบรรดาคนในแวดวงกองทุนรวม ที่ฟังไว้ไม่เสียหลาย
|