ทันหุ้น-กลุ่มพลังงานอ่วม ไตรมาส 3/25 กำไร 8 บริษัทยักษ์ใหญ่หดตัว 23% เหลือ 3.68 หมื่นล้าน หลังหมดกำไรจากสต็อกน้ำมัน เซียนหุ้นสแกนงบพบ IRPC ม้ามืด พลิกมีกำไร 2.57 พันล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนขาดทุน 4.43 ล้านบาท โบรกเชียร์เก็บ BANPU-PTT-PTTAR-PTTEP-TOP เข้าพอร์ต เชื่อปีหน้าแจ่ม
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด กล่าวว่า ทิศทางราคาน้ำมัน WTI ในไตรมาส 4/2552 เฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ระดับ 72 เหรียญ ส่งผลให้ทั้งปีคาดจะอยู่ที่ 61 เหรียญ ลดลง 39% จากปีก่อน โดยในไตรมาส 3/2552 ราคาน้ำมันแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 60-74 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ฟื้นขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีก่อน
สำหรับราคาเฉลี่ยในไตรมาส 3/2552 อยู่ที่ 68.1 เหรียญ เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อย แต่ลดลง 43% จากปีก่อน และตลาดยังคาดหวังที่ดีขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเอเชีย รวมทั้งเป็นการฟื้นตัวขึ้นตามตลาดหุ้นด้วย และเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ก็หนุนราคาน้ำมันขึ้นด้วย
ดังนั้นคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/2552 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ดีจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาก โดยเฉพาะจากโรงกลั่นที่ปีที่แล้วขาดทุน จึงคาดผลไตรมาสนี้ขอกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ 8 บริษัทใหญ่ BANPU, EGCO, IRPC, PTT, PTTAR, PTTEP, RATCH และ TOP จะทำกำไรรวม 3.68 หมื่นล้านบาท ลดลง 23% จากธุรกิจโรงกลั่นไม่ได้มีผลจากกำไรสต็อกน้ำมันแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับปีก่อนเพิ่มขึ้นถึง 50% เพราะราคาน้ำมันกำลังอยู่ในช่วงขาลง ทำให้โรงกลั่นขาดทุนจากสต็อกน้ำมันมาก
สำหรับหุ้นที่ทำได้ดีทำกำไรดีสุดในไตรมาสนี้ คือหุ้น IRPC ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น เพียงบริษัทเดียวในกลุ่มหุ้นใหญ่ โดยคาดว่ามีกำไรประมาณ 2.57 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น6% พลิกจากขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 4.43 พันล้านบาท โดยคาดว่าราคาน้ำมันและปิโตรเคมีโดยเฉลี่ยยังคงฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง แม้ไตรมาสนี้ไม่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน และมาร์จิ้นการกลั่นไม่ดี แต่มาร์จิ้นธุรกิจปิโตรฯเพิ่มสูงขึ้น จากการนำเข้าของประเทศจีน จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.44 บาท
ส่วนหุ้น BANPU คาดว่ามีกำไร 3.05 พันล้านบาท ลดลง 23%จากไตรมาสก่อน และลดลง 2% จากปีก่อน และมีรายได้ 1.34 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และ 6% จากปีก่อน และมีราคาขายถ่านหินเฉลี่ย 64 เหรียญ ลดลง12% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน มีปริมาณขายถ่านหินที่ 5.51 ล้านตัน จึงแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 514 บาท
หุ้น PTT คาดว่ามีกำไร 1.89 หมื่นล้านบาท ลดลง 5% จาก 1.99 หมื่นล้านบาทในไตรมาสก่อน และคาดรายได้เพิ่มขึ้น 111% ตามราคาน้ำมัน แต่กำไรที่ทำได้ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่ 1.79 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% แม้ราคาขายปิโตรเลียมยังต่ำกว่าปีก่อน เพราะปีนี้มีการรับรู้ผลกำไรจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี 4.7พันล้านบาท เทียบกับที่ขาดทุน 3.46 พันล้านบาทปีก่อน จึงแนะนำ ซื้อเป้าหมาย 312 บาท
ส่วนหุ้น PTTAR คาดว่ามีกำไร 2.73 พันล้านบาท รับประโยชน์จากธุรกิจปิโตรเคมี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ BZ ที่สเปรดเทียบ Naphtha ปรับขึ้นต่อเนือง มาอยู่ที่ 226 เหรียญในไตรมาส 3/2552 จาก 152 เหรียญ ในไตรมาสก่อนหรือ 48% แม้ PX จะมี Spread แคบลง ในส่วนโรงกลั่นไตรมาสนี้ไม่มีกำไรจากสต็อกน้ำมันเหมือนที่ทำได้ 4.5 เหรียญเมื่อไตรมาสก่อน จึงแนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 31.2 บาท
หุ้น PTTEP คาดกำไร 5.17 พันล้านบาท ลดลง 20% จากไตรมาสก่อน และ 60% จากปีก่อน โดยรายได้จากการขายคาดที่ 2.89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน แต่ ลดลง 29% จากปีก่อน ราคาขายปิโตรเลียมเฉลี่ยคาดที่ 39.92 เหรียญ ปริมาณขาย 2.34 แสน BOE/D รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายการตัดจำหน่ายในการสำรวจ 3 หลุมจากออสเตรเลียและโอมาน 1.2 พันล้านบาท และรายจ่ายที่เกิดจากการรั่วของน้ำมันที่แหล่งมอนทาราแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 182 บาท
หุ้น TOP คาดมีกำไร 1.51 พันล้านบาท ลดลง 76% จาก 6.19 พันล้านบาทในไตรมาสก่อน พลิกจากขาดทุนงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 5.8 พันล้านบาท ซึ่งไม่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน เนืองจากราคาน้ำมันไม่แตกต่างกัน ส่วน Market GRM คาดไว้ราว 1 เหรียญ ยังอยู่ในระดับต่ำ เพราะราคาน้ำมันดีเซลมีสเปรดแคบ คาดรายได้จากการขายที่ 7.95 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน แต่ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 28% จากราคาขายน้ำมันและปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นต่อเนือง จึงแนะน ซื้อ ราคาเป้าหมาย 51 บาท
| เข้าชม: 2,487 |
|