เนื่องจากมีวิกฤตหนี้ทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ยุโรปทำท่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และแหล่งน้ำมันในลิเบียกลับมาผลิตได้อีกครั้ง มันชวนให้รู้สึกว่า ราคาน้ำมันจะซบเซาลง แต่จริงๆแล้ว มันมีความเสี่ยงอยู่มากที่จะรู้สึกเช่นนั้น
แม้ว่าจะมีความมืดมนทางเศรษฐกิจและการเงินอยู่ถ้วนทั่ว แต่ปี 2554 ได้เป็นปีที่ราคาน้ำมันทำสถิติสูงสุด น้ำมันดิบเบรนต์มีราคาเฉลี่ยสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยอยู่เหนือระดับ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และนักวิเคราะห์เพียงไม่กี่คนที่คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะปรับตัวลงมาก แม้แต่นักวิเคราะห์ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง
ดีมานด์เชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจากจีนและเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ และกำลังการผลิตที่ลดลงจากซัพพลายเออร์น้ำมันแต่ดั้งเดิมเช่นในทะเลเหนือ และการหยุดผลิตในประเทศส่งออกรายใหญ่อย่างลิเบีย ได้ทำให้ตลาดน้ำมันมีความตึงตัว
หากสหรัฐซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรงกว่าเดิม ราคาน้ำมันน่าจะยังคงแข็งแกร่งต่อไป อย่างน้อยก็จนถึงปลายฤดูหนาวในซีกโลกเหนือ
แฮร์รี่ ชิลินกูเรียน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดโภคภัณฑ์ของบีเอ็นพี ปาริบาส กล่าวว่า ยังไม่มีการตระหนักถึงสถานการณ์ในมุมลบ ดีมานด์น้ำมันโลกกำลังเพิ่มขึ้น และหากซัพพลายไม่เพิ่มขึ้น สต๊อกน้ำมันต้องลดลง หรือไม่ก็ราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งสองอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) กล่าวว่า ดีมานด์น้ำมันทั่วโลกน่าจะต้องเพิ่มขึ้นประมาณ 900,000 บาร์เรลต่อวัน ในปีนี้ โดยเป็นมากกว่า 89 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนในปีหน้า ดีมานด์น้ำมันทั่วโลกจะยิ่งเพิ่มขึ้นเร็วขึ้นไปอีกประมาณ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากจีน อินเดีย บราซิล และเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ ล้วนแต่ใช้น้ำมันมากขึ้น
เดวิด เวช หัวหน้าฝ่ายศึกษาพลังงานบริษัทเจบีซี อีเนอร์จี้ กล่าวว่า ในขณะที่ข่าวต่างๆ เต็มไปด้วยความน่ากลัวของภาวะถดถอย มันเป็นเรื่องง่ายที่จะมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า ดีมานด์น้ำมันได้เริ่มเส้นทางการเติบโตของมันอีกครั้ง และระดับดีมานด์ในปี 2554 เป็นระดับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
ในขณะที่ดีมานด์น้ำมันเพิ่มขึ้น ซัพพลายกลับไม่สอดคล้อง การลุกฮือเพื่อต่อต้านอดีตเผด็จการมูอัมมาร์ กัดดาฟี ทำให้น้ำมันคุณภาพสูงในลิเบียหายไปถึง 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ และยังมีปัญหาการผลิตในรัสเซีย อังกฤษ นอร์เวย์ และไนจีเรีย
ปัจจัยอื่นๆ ก็ช่วยหนุนราคาน้ำมันเช่นกัน !
แม้ว่าระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ได้ประมาณการดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง จึงหนุนราคาน้ำมันดิบสหรัฐในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
ในขณะที่สหรัฐเข้าสู่ปีเลือกตั้ง มีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะผ่อนคลายนโยบายเงินรอบใหม่เพื่อพยายามอุดหนุนเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงาน ในอดีตการเคลื่อนไหวเช่นนั้นได้ทำให้ราคาสินทรัพย์ดีดตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมัน
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะต้องลดลงมากจึงจะทำให้ดีมานด์น้ำมันลดลงได้ และต้องทำให้ความสมดุลในตลาดน้ำมันไปเป็นตลาดน้ำมันที่เกินดุล และในขณะที่ประมาณการอย่างระมัดระวังมองว่า ทั่วโลกจะโตประมาณ 3% ในปีนี้ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้มาก
นักวิเคราะห์กล่าวว่า หากราคาน้ำมันเริ่มลดลง องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) น่าจะเข้าไปควบคุมกำลังการผลิตเหมือนที่ได้ทำในปี 2551 ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินอย่างรุนแรง และหากจำเป็น สมาชิกสำคัญของโอเปกอย่างเช่น ซาอุดีอาระเบีย น่าจะเอื้อให้ลิเบียเริ่มส่งออกน้ำมันอีกครั้งด้วยการลดการผลิตของตนเอง
เรื่องนี้น่าจะเป็นไปได้มากเมื่อคำนึงถึงว่า ต้นทุนการผลิตของสมาชิกโอเปกในอ่าวเปอร์เซียเพิ่มขึ้น โดยนักวิเคราะห์ของธนาคารเนเธอร์แลนด์ประเมินในขณะนี้ว่าสูงถึง 86.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากราคาน้ำมันเข้าใกล้ระดับนั้น จะมีแรงกดดันรุนแรงมากขึ้นให้มีการลดกำลังการผลิตและลดการส่งมอบสู่ตลาด
นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่ามีโอกาสพอประมาณที่ราคาน้ำมันจะลดลงหากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในยุโรปได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติหนี้ยูโรโซน แต่แม้แต่ประมาณการที่ต่ำที่สุดก็ยังค่อนข้างสูงอยู่
จากการสำรวจของรอยเตอร์ต่อราคาน้ำมันเมื่อเร็วๆ นี้ มีนักวิเคราะห์เพียง 2 คน จากจำนวน 35 คน ที่คาดการณ์ว่า น้ำมันดิบเบรนต์จะลดลงอยู่ระหว่าง 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีหน้า และมีการประมาณการโดยเฉลี่ยว่า ราคาน้ำมันจะใกล้ถึงระดับที่มันอยู่ในขณะนี้ หรือประมาณ 106 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
โกลด์แมน แซคส์ ซึ่งประมาณการราคาน้ำมันได้ถูกต้องมากสุดเมื่อปีที่ผ่านมา คาดการณ์ในเวลานี้ว่า น้ำมันดับเบรนต์จะอยู่ที่ 125 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลใน 12 เดือน
อัมริตา เซน นักวิเคราะห์น้ำมันของบาร์เคลย์ แคปิตอล ให้เหตุผลว่า ตลาดน้ำมันถูกจับอยู่ระหว่างอิทธิพลในการแข่งขันกับอิทธิพลของความรุนแรงมากขึ้น
นอกตลาดน้ำมัน มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เศรษฐกิจจะล้มเหลว แต่ภายในตลาดน้ำมัน ขีดความสามารถในการสำรองน้ำมันได้บั่นทอนลง และความแข็งแกร่งในตลาดกายภาพได้เพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงมีความเห็นว่า ความวิตกเกี่ยวกับความไม่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจมหภาค คือสิ่งเดียวที่กำลังควบคุมราคาน้ำมัน หากไม่มีความวิตกนี้ เชื่อว่า น้ำมันดิบเบรนต์จะต้องถึงระดับสูงสุดตลอดกาลไปแล้ว และทะยานผ่านระดับ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ที่มา ข่าวหุ้น | เข้าชม: 2,898 |
|